ฉบับที่ 39 มกราคม ปี 2549

จิราภรณ์ วัฒนเวช นักลุก ..ผู้ยิ่งใหญ่



           ชื่อของจิราภรณ์ วัฒนเวช อาจไม่ใช่ชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศ ที่สามารถเรียกความสนใจจากคนทั่วไปก็จริงอยู่ แต่หากเชื่อในสุภาษิตที่ว่า" ยิ่งล้ม ยิ่งแกร่ง" ชีวิตของหญิงคนนี้แหละ คือคำจำกัดความที่ดี ...

             เธอต้องผจญกับการถูกโกงทรัพย์สินเป็นจำนวนกว่า ๑๐ ล้านบาท จนบริษัทของเธอต้องปิดตัวลง ในช่วงของการผันผวน ทางเศรษฐกิจในยุคIMF ความสาหัสที่เธอประสบในครั้งนี้ ได้ทำให้ผู้คนในโคราชหันมาให้ความสนใจเธอพอๆ กับในช่วงที่เธอกำลังรุ่งเรืองสุดขีดที่มีเงินสะพัดเกือบร้อยล้าน ในขณะคุมบังเหียนกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเอสซี ซัพพลาย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่รู้จักกันดีในวงการก่อสร้าง ที่ทำถนนหนทาง ทำเขื่อน ฯลฯ

             เธอมีชื่อเสียงอยู่ในวงการสังคม ในฐานะหญิงแกร่งนักบริหารตัวยง ที่มีความสามารถในการค้าที่ดิน ในการรวบรวมที่ดินใกล้เขาใหญ่อย่างชนิดที่หาใครทำอย่างเธอได้ยาก เพราะเธอได้ช่วยเพื่อนรวบรวมที่ดินให้เป็นผืนแผ่นดินเดียวกันจำนวนถึง ๓ พันกว่าไร่ จากเจ้าของทั้งหมด ๗๙ ราย โดยไม่มีปัญหาใดๆกับเจ้าของที่ดินเลย มิหนำซ้ำปัจจุบันยังรุดหน้าพัฒนาที่ดิน ทำธุรกิจรีสอร์ทแถวเขาใหญ่ที่มีอนาคตสดใสอีกด้วย

           "ชีวิตเราล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง เราเจออะไรมาเยอะ ทำให้เราไม่กลัวอีกแล้ว ตอนเริ่มขายที่ดินใหม่ๆ เริ่มจากการเป็นนายหน้าก่อน ตอนแรกๆ ก็โดนเบี้ยวค่านายหน้า ไปเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก แต่เราก็ไม่ถอย ตอนนั้นคิดเลยว่าอาชีพนายหน้า สำหรับเราคงไม่รุ่ง จึงรวบรวมเงินที่มีอยู่ไปซื้อที่ดิน มาแล้วขายไปจนกระทั่งเราลุกขึ้นได้ คือทุกครั้งที่เราล้ม เราไม่เคยท้อเลย เราไม่โทษใคร แต่เราจะคิดว่ามันคือบทเรียนที่จะสอนให้เราแกร่ง และทำให้ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ" แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะทุกครั้งที่เธอล้ม เธอกลับลุกขึ้นได้ทุกครั้ง และสามารถลุกขึ้นยืนอย่างผงาด ด้วยมูลค่าชีวิตที่สูงขึ้นกว่าเดิม ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของ เขาใหญ่ฟ้าใสรีสอร์ท ที่ผู้คนให้ความสนใจถึงกับมาจับจองตั้งแต่ยังไม่เปิด อีกทั้งเธอยังเป็นที่ได้รับความไว้วางใจ ได้เป็นที่ปรึกษาศูนย์อบรมเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา ที่กำลังมาแรงที่สุดคนหนึ่ง

           "จากเดิมเรียนจบคณะอักษรศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร จากนั้นก็หันมาทำงาน มาแต่งงาน และก็ได้ทำธุรกิจเป็นเจ้าของฟาร์มโคนมที่มีวัวมากที่สุดในปากช่อง อยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาจึงเลิกกิจการ เพราะคิดว่า ถ้าวัวมันแก่ๆ ให้น้ำนมไม่ได้ ก็คงต้องขายเป็นวัวเนื้อ พอคิดแบบนี้ก็สงสาร กลัวจะบาป เลยเลิกธุรกิจนี้เลยดีกว่า จากนั้นก็มาทำธุรกิจที่ดิน จนกระทั่งเรามีความคิดว่าเราอยากตอบแทน บางสิ่งบางอย่างให้สังคม จึงเริ่มก่อตั้งโครงการเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ ให้กับนักเรียนผู้ยากไร้ คือให้ทุนการศึกษา แก่เด็กนักเรียนรายเดือน ส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้กับนักเรียนผู้ไม่มี โครงการนี้ เราไม่ได้ให้ทุนเฉพาะ กับเด็กที่ยากจนแต่เรียนดี แต่เราให้กับเด็กยากจนที่มีความตั้งใจเรียน แม้จะเรียนไม่ดีเราก็อุปถัมภ์มอบทุนให้เรียน แต่ขอให้มีความตั้งใจจริง เพราะเมื่อเราได้ไป ดูสภาพความเป็นอยู่ ของพวกเขาแล้วรู้สึกสงสารมาก บางคนต้องขาดเรียน เพราะไม่มีแค่ชุดนักเรียน ต้องผลัดกันใส่ผลัดกันมาเรียนกับพี่น้อง อาจเป็นเพราะนิสัยของเราที่มีความสุข กับการเป็นผู้ให้เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และเราคิดอยู่เสมอว่า หากเราอยู่ในฐานะที่จะช่วยใครได้เราจะช่วย ไม่ว่าวัดไหนมาขอให้ทำบุญ เราก็ไม่เคยปฏิเสธบุญเลย แม้ว่าตอนที่เป็นประธานชมรมกอล์ฟสิงห์ภูเขาอยู่ ก็จะจัดให้เป็นกอล์ฟการกุศล นำเงินนั้นไปสมทบกองทุนการกุศลบริจาค กลับคืนสู่สังคม เพราะตอนที่ชีวิตเราล้ม ตอนเราลำบาก เราเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ทำให้เราอยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนที่กำลังลำบาก ไม่มีที่พึ่ง


            ตัวเองได้รู้จักวัดพระธรรมกายครั้งแรก ก็ในช่วงที่ธุรกิจมีปัญหา เพื่อนจึงพาไปหาซินแสที่เก่ง ในการดูดวงและฮวงจุ้ยมาก พอไปถึงประหลาดใจมาก ที่ซินแสพูดถึงแต่เรื่องของวัดพระธรรมกาย บอกว่าได้มาดูฮวงจุ้ยที่วัดพระธรรมกาย แล้วรู้สึกอัศจรรย์มากๆ ท่านบอกว่าหาก มหาธรรมกายเจดีย์สร้างเสร็จ สันติสุขจะบังเกิดขึ้น นำพาความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ชาวโลก เพราะการกำหนดทิศทาง และสิ่งก่อสร้างที่ถูกต้องตาม หลักฮวงจุ้ย ตามตำราทุกอย่าง สมดุลที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เขาบอกว่าเป็นเหมือน การฝืนลิขิตสวรรค์อะไรอย่างนั้น อีกหน่อยชาวโลก จะเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล มากราบไหว้สักการะ และสิ่งนี้จะทำให้ โลกเกิดสันติภาพอย่างแท้จริง เมื่อเราเองฟังเสร็จ ก็รู้สึกสนใจอยากมาวัดนี้มาก ในใจก็คิดว่าน่าจะเป็นจริงอย่างที่ซินแสพูดนะ เพราะซินแสคนนี้ดูฮวงจุ้ยเก่ง และมีชื่อเสียงในด้านนี้มาก หลังจากนั้นก็ได้มาทำบุญ ที่วัดนี้สมความตั้งใจ และทำมาตลอดต่อเนื่องไม่เคยขาด แม้จะอยู่ไกลวัดแต่ก็มาวัดเป็นประจำทุกอาทิตย์ และที่ปลื้มในบุญสุดๆ ก็คือได้เป็นประธานรองกฐิน ได้ขึ้นไปนั่งสมาธิที่ สวนพนาวัฒน์ จ.เชียงใหม่ หลายครั้ง จนทำให้เราพบความสุขความสงบ และนับจากนั้นมาก็ได้นำหลัก การทำสมาธิมาใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้หลักธรรมของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการบริหารงาน

จนกระทั่งเราฟื้นตัวสร้างโรงแรมขึ้นมาอีกครั้ง และโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบ วัดพระธรรมกายมาก แต่เราก็ได้ยินข่าวการโจมตีวัด แต่พอมาดูด้วยตาตัวเอง มาสัมผัสด้วยใจ ไม่เห็นเป็นอย่างที่ข่าวลงเลย และเราก็ชื่นชมผลงานต่างๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ได้สร้างไว้ ทั้งโครงการมุ่งเน้นนำศีลธรรมกลับคืนสู่แผ่นดิน โดยการจัดตอบปัญหาธรรม ทางก้าวหน้า โดยให้นักเรียนกว่า ๔ ล้านคนทั่วประเทศ มาศึกษาศีลธรรม มาสอบกันและยังมีการสอบ ในระดับครูอาจารย์ทั่วประเทศอีกด้วย คือโครงการนี้เป็นหนึ่งในหลายๆ โครงการของหลวงพ่อที่มีนโยบาย แก้ไขปัญหาสังคมที่ดีมากๆ เพราะเมื่อครูดี ก็จะสอนให้นักเรียนดีไปด้วย เพราะปัจจุบันที่ชีวิตตัวเอง ต้องประสบปัญหา โดนโกงหลายรูปแบบ เป็นแสดงให้เห็นว่าสังคมไทย เรากำลังขาดแคลนศีลธรรมในใจ เป็นอย่างมาก ไม่กลัวบาป ไม่เชื่อบุญกันเลย และเราเองก็มีความฝันอยู่ลึกๆ ที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนองงาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสองนำศีลธรรมกลับคืนสู่สังคม "

           ผู้หญิงแกร่งที่ชื่อ จิราภรณ์ วัฒนเวช คนนี้ เธอคือยอดหญิง ที่ไม่เคยยอมแพ้ ทุกลมหายใจของเธอ คือการต่อสู้ ..สู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ..สู้ด้วยธรรมะ สู้จนกระทั่งเธอได้ชัยชนะเป็นรางวัลแห่งชีวิต..ทุกครั้ง และด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้เธอก้าวยืนขึ้น อย่างผงาดและสูงส่งกว่าเดิม....

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล