ฉบับที่ 63 มกราคม ปี 2551

ทันโลก ทันธรรม : the secret

ทันโลก ทันธรรม
เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ (M.K.,Ph.D.) จากรายการทันโลก ทันธรรม ออกอากาศทางช่อง DMC

 

 

        หัวเรื่องวันนี้ ทางท่านพิธีกรตั้งเอาไว้ค่อนข้างจะดูทันสมัย เก๋ไก๋ แล้วก็ดูมีความลึกซึ้งอยู่พอสมควร เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า The Secret คือเรื่องของความลับ

       พอพูดถึงความลับอย่างนี้ วันนี้ อาตมภาพจะขอเอาความลับที่สำคัญจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเล่าให้พวกเราฟัง จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ลับอะไรเลย มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่าเราอาจจะยังไม่ค่อยได้อ่าน จึงยังเป็นความลับสำหรับเราอยู่ วันนี้จะขอเอาความลับนี้ มาเปิดเผยให้พวกเราทราบกัน แล้วจะพบว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ฝรั่งเขาฮือฮาตื่นเต้นกันในขณะนี้นั้น พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว

        คือพระองค์เป็นผู้ไปพบความลับนี้ แล้วก็เอามาเฉลยให้พวกเราฟัง ใครได้ศึกษาแล้วนำไปใช้ ก็จะเกิดประโยชน์แก่ตัวเองซึ่งได้มีผู้ศึกษาและเอาไปใช้จนเกิดประโยชน์ขึ้นมามากมาย เป็นพระอรหันต์หมดกิเลสไปก็ตั้งเป็นแสนเป็นล้าน คือ พระองค์พบว่า เหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็คือ ตัณหา ความทะยานอยาก แล้วพอสาวต่อไปว่า อะไรล่ะที่ทำให้เกิดตัณหา ความทะยาน อยาก ทั้งความรักใคร่ พอใจ ความโลภ อยากได้ พระองค์พบว่า มันเกิดจากความคิดก่อน พวกเราลองสังเกตดู หนุ่มสาวที่รักใคร่พอใจกัน ถามว่าเกิดจากอะไร มันจะเกิดขึ้นจากความคิด คือ เริ่มต้นมีเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งให้เกิดสะดุดขึ้นมา หรือว่าเกิดปิ๊งขึ้นมา พอปิ๊งขึ้นมา เริ่มคิดถึงเขาแล้ว ใหม่ๆ อาจจะคิดถึงไม่ใช่ในแง่ชอบด้วยซ้ำไป อาจจะมีอะไรสะดุดขึ้นมาสักอย่าง แล้วก็คิด พอคิดถึงบ่อยๆ มันจะค่อยๆ เกิดกระบวนการแปรเปลี่ยน
ขึ้นมากลายเป็นความพึงพอใจ ความรัก แล้วก็ความผูกพันเกิดขึ้

       ....พระองค์พบว่า เหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็คือ ตัณหาความทะยานอยาก แล้วพอสาวต่อไปว่าอะไรล่ะที่ทำให้เกิดตัณหา ความทะยานอยากทั้งความรักใคร่พอใจ ความโลภ อยากได้ พระองค์พบว่ามันเกิดจากความคิดก่อน

 

        พอรู้อย่างนี้แล้ว เราก็สามารถนำหลักนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ทุกเรื่องเลย ถ้าจะหยุดอะไรให้หยุดที่ใจก่อน เพราะฉะนั้น มันเกิดจากความคิดก่อน ตรงนี้นี่เอง ความรัก ตัณหา ทั้งกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาก็เกิดขึ้นมาจากความคิด ถ้าเราสังเกต มรรคมีองค์ ๘ เริ่มข้อแรกคืออะไร คือเรื่องสัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกข้อ ๒ ก็คือ สัมมาสังกัปปะ มีดำริชอบ หรือคิดถูกนั่นเอง เห็นไหมมาที่ความคิดเลย ที่ต้องมีข้อแรก สัมมาทิฐิ ความเห็นถูกไว้ก่อน เพราะว่าถ้าไม่มีข้อนี้ ความคิดจะไม่ถูก จะไปเรื่อยเปื่อย สะเปะสะปะ จึงต้องมีความเห็นที่ถูกต้อง ทิศทางที่ถูกก่อน แล้วมาคุมความคิดให้ไปตามทิศทางนั้น ต่อเนื่องกันไป กระบวนการต่างๆ จะเริ่มจาก
ความคิดตรงนี้นี่แหละ   

        คือเรื่องความคิด เกิดว่าใครอกหักขึ้นมา อยากจะให้หาย จากอาการโรคอกหักล่ะก็ แค่หยุดคิดเท่านั้นเอง อย่าไปคิดถึง หยุดคิดเท่านั้นจบเลย อาการอกหักจะหายเป็น ปลิดทิ้งเลย ถ้าอยากจะให้ผูกพันมากๆ ก็คิดถึงบ่อยๆ ก็แล้วกันยิ่งคิดถึงเรื่องของเขาบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น ถ้าอยากจะให้จบก็คือหยุดคิด แล้วก็จะจบ ทุกเรื่องจะอยู่ตรงนี้ใช้กับเรื่องอื่นก็ได้ อยากจะให้เรามีกำลังใจ ก็คิดไปทางที่บวกที่สร้างสรรค์ เดี๋ยวกำลังใจเกิด มีพละกำลังสู้ทีเดียวอยากจะให้แพ้แล้วล่ะก็ คิดไปในทางท้อถอย สู้ไม่ได้ ตายแน่ๆ เดี๋ยวตายจริงๆ มันจะเริ่มจากกระบวนการคิด

         แม้แต่สองทัพตั้งประจันกัน ถ้าฝั่งหนึ่งเหลือทหาร อีกสัก ๑๐ ล้านคน แต่พอคิดว่าสู้ไม่ได้ ยอมแพ้ดีกว่า ประกาศยอมแพ้ ถามว่าแพ้ไหม ก็คือแพ้ทันที แม้เหลือทหารเป็น ๑๐ ล้านคนก็ตาม

         แต่สู้กันจนเหลือทหารแม้เพียงคนเดียวเท่านั้นเอง ถ้าหากยังไม่ยอมแพ้ ถามว่า แพ้หรือยัง คำตอบคือยังไม่แพ้ แล้วยังมีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้ ตัวอย่างเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อประมาณ ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว ในประเทศอินเดียมีชายผู้หนึ่งชื่อ จันทรคุปต์ ต่อมาภายหลังเป็นคนที่สถาปนาอินเดีย ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จันทรคุปต์ คือ พระเจ้าจันทรคุปต์ ตอนที่เขาเริ่มก่อร่างสร้างตัว เขายกทัพไปสู้กับพระราชาเดิมของแคว้นมคธ แคว้นใหญ่ในอินเดีย เขาตีมคธได้สำเร็จ สุดท้ายก็ขยายออกไป แต่ช่วงแรกไปตีมคธ ปรากฏว่าเสียท่า กองทัพแตกยับเยิน หนีเตลิดเปิดเปิง ตัวเองหลงพลัดไปเหลือแค่คนเดียว กองทัพสลายหมดเลย ข้างกายไม่มีทหารเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว อย่าว่าแต่จะไปยึดแผ่นดินเขาเลย ข้าวจะกินยังไม่มีเลย

         ไปซุ่มอยู่ที่ชายป่าริมบ้านหลังหนึ่ง เห็นคุณยาย คนหนึ่ง เจ้าของบ้านหลังนั้นกำลังปิ้งขนมเบื้องอยู่ แล้วหลานก็ไปหยิบเอาขนมเบื้องร้อนๆ มา แล้วก็เคี้ยวกร้วมไปตรงกลางเลย กัดกร้วมไปตรงกลาง มันร้อนมันก็ลวกปาก เด็กก็ร้องไห้จ้า คุณยายคนนั้นก็บอกว่า "แกนี่โง่เหมือนจันทรคุปต์เลย"พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ จันทรคุปต์หูผึ่ง หายหิวเลย เดิมจ้อง จะไปชิงขนมเบื้องของสองยายหลายมากิน จากคนจะยกทัพไปยึดแผ่นดิน กลายเป็นว่าจะมาชิงเอาแค่ขนมเบื้องชิ้นเดียวเพื่อแก้ความหิวของตัวเอง กำลังซุ่มรอจังหวะอยู่ แต่พอฟังคุณยายดุหลานว่าโง่เหมือนจันทรคุปต์ เท่านั้นเองหูผึ่ง หายหิวเลย เอ๊ะ..ทำไมว่าเราอย่างนี้ แล้วคุณยายก็เฉลยต่อ บอกว่า"แกไม่รู้หรือ ขนมเบื้องมันร้อน ไปกัดกร้วมเอาตรงกลางมันก็ลวกปากแย่สิ จะกินมันก็ต้องค่อยๆ เล็มขอบเข้าไป"

       จันทรคุปต์หูตาสว่างไสว ลืมหิวเลย นึกว่า ใช่แล้ว เราเองกำลังยังน้อยอยู่ ไปตีเมืองหลวงของแคว้นมคธเข้ามันก็ไปไม่รอด ทัพแตกยับเยิน หนีซมซานมาอย่างนี้ มันต้องค่อยๆ เล็มขอบเข้าไป ได้ยุทธศาสตร์มาจากคุณยาย กลับไปรวมพวกใหม่ ทหารที่กระจัดกระจายก็ไปตามเก็บมา รวมตั้งกองทัพเล็กๆ ขึ้นมาได้ แล้วค่อยๆ บุกตี เอาป่าล้อมเมือง เล็มชายขอบเข้าไป กองทัพก็ค่อยๆ โตขึ้นๆ สุดท้ายยึดมคธได้ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ แล้วก็นำทัพออกไปค่อยๆ ตีทีละเมือง ทีละแคว้น ทีละรัฐ จนกระทั่งหมดทั้งอินเดีย สถาปนาราชวงศ์เมารยะขึ้นมา พระเจ้าจันทรคุปต์ก็คือปู่ของพระเจ้าอโศกมหาราช นั่นเอง

       มนุษย์เรามีกายหยาบซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ นี่คือนวัตกรรมที่สุดยอดทั้งของโลก และในประวัติศาสตร์ทั้งมวล ไม่มีอะไรเกินกายหยาบของมนุษย์ เพราะฉะนั้น บัดนี้เราเป็นเจ้าของนวัตกรรม ชิ้นเลิศที่สุดแล้ว คือกายมนุษย์ เรามีตัว ขอให้สวมหัวใจเข้าไปอีกหน่อย แค่มีตัวกับหัวใจเราทำได้ทุกอย่าง


        เราทุกคนก็เหมือนกัน จะทำกิจการงานใด ก็ตาม ขอให้คิดในทางบวก อย่ายอมแพ้ คิดในทาง สร้างสรรค์  เห็นไหม กองทัพแตกสลายเหลืออยู่แค่คนๆ เดียว เมื่อยังไม่ยอมแพ้ ก็ยังไม่แพ้ แล้วก็ยังมีโอกาส จากค่อยๆ
สั่งสมความสำเร็จจนนำไปสู่ชัยชนะได้

        คิดในทางที่ให้กำลังใจตัวเอง แล้วพลัง แห่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว เขาถึงบอกกันว่าสองคนยลตามช่อง คนหนึ่ง มองเห็นโคลนตม เห็นแต่ขยะ สกปรกเลอะเทอะ ดูไม่ได้ แต่ในช่องเดียวกันอีกคนมองไปข้างบน โอ้โฮ! ท้องฟ้าสุกสกาว มีดาวสวยงามเหลือเกิน ดูแล้วเพลิดเพลินตา เจริญใจ ช่องเดียวกันเห็นต่างกันฟ้ากับดิน มันอยู่ที่ว่าจะเลือกมองอะไร ถ้าเรารัก ตัวเอง รักจะประสบความสำเร็จในชีวิต จะต้องมอง ในทางสร้างสรรค์ คิดในทางบวก ในทางที่ทำให้เกิดพลังใจขึ้นมาและเมื่อนั้นพลังจะเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

            มนุษย์เรามีกายหยาบซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ นี่คือนวัตกรรมที่สุดยอดทั้งของโลก และในประวัติศาสตร์ทั้งมวลไม่มีอะไรเกินกายหยาบของมนุษย์ เพราะฉะนั้น บัดนี้เราเป็นเจ้าของนวัตกรรม ชิ้นเลิศที่สุดแล้ว คือกายมนุษย์ เรามีตัว ขอให้สวมหัวใจเข้าไปอีกหน่อย แค่มีตัวกับหัวใจเราทำได้ทุกอย่าง สำเร็จเลิศสุดของโลกคือการตรัสรู้ธรรม ก็สามารถทำได้ ถ้าเอาจริง มีความคิดเชิงสร้างสรรค์ ให้กำลังใจตัวเอง เราทำได้ ถ้าสุดยอดของการทำงาน คือการตรัสรู้ธรรมสามารถทำได้ เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กหมด ไม่ต้องพูดถึง ทุกเรื่องเราสามารถทำได้ เพราะเราเป็นเจ้าของทรัพย์มหาศาล คือกายมนุษย์ ให้เราปรับอีกส่วนหนึ่งคือใจของเราเองโดยกระบวนการความคิด แล้วเมื่อนั้นเราจะเป็นเจ้าของ ขุมทรัพย์มหาศาลที่ตักใช้เท่าไรไม่รู้จักพร่อง เป็นเจ้าของอุปกรณ์ในการทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก และจักรวาล ความสำเร็จอยู่ในมือของพวกเราทุกคนขอแต่เพียงว่าให้รู้จักปรับที่ความคิดของเราเท่านั้น ซึ่งจะทำได้จะต้องปฏิบัติธรรมให้ใจสงบ พอใจสงบ พลังความคิดสร้างสรรค์ทางบวกก็จะเกิดขึ้นมา อย่างไร้ขีดจำกัด แล้วเราก็ปรับต่อไป สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ก็จะเกิดขึ้นมา สัมมาสังกัปปะ ความคิดชอบ ก็เกิดขึ้น สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะทำการงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ใจตั้งมั่นชอบทุกอย่างก็จะเสริมวงจรตลอดต่อเนื่องกันเลย แล้วจะนำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาสู่ตัวของเราเอง ทั้งทางโลก และทางธรรม

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล