ฉบับที่ 111 มกราคม ปี2555

พระธรรมเทศนา "สรีรัฏฐธัมมสูตร-ธรรมประจำสรีระ" ตอนที่ ๕

พระธรรมเทศนา

 


 

ตอนที่ ๕

พระธรรมเทศนา "สรีรัฏฐธัมมสูตร-ธรรมประจำสรีระ"

ข้อที่ ๙ ความสำรวมในอาชีพ

          ความสำรวมในศีลหรือความสำรวมกายกับวาจานี้เอง ต่อมาได้กลายมาเป็นความสำรวมในอาชีพของเรา ซึ่งส่งผลมาถึงความทุกข์และความสุขในการดำรงชีวิตของเราเป็นอย่างมากอีกด้วย ดังได้กล่าวแล้วว่า การบรรเทาทุกข์ประจำสรีระนั้น เราจำเป็นต้องได้ ปัจจัย ๔ มาเติมธาตุ ๔ ให้กับร่างกาย เราได้อาหารมาเติมธาตุดิน เราได้น้ำมาเติมธาตุน้ำ เราได้เครื่องนุ่งห่มมาเติมธาตุไฟ เราได้ที่อยู่อาศัยมาเติมอากาศบริสุทธิ์และช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ เราได้ยารักษาโรคมาบำบัดและบำรุงธาตุ ๔ ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่รุมเล่นงานในคราวเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น

          แต่เนื่องจากปัจจัย ๔ เหล่านี้ เราต้องไปประกอบอาชีพต่าง ๆ เพื่อให้ได้ปัจจัย ๔ มาเติมธาตุ ๔ ให้ตัวเรา และโดยที่อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการแสวงหาปัจจัย ๔ ก็คือ "กายŽ" กับ "วาจา"Ž ของแต่ละคน กายกับวาจาที่ใช้รักษาศีลและกายกับวาจาที่ใช้ประกอบอาชีพ ก็คือกายกับวาจาของคน ๆ เดียวกัน

          ดังนั้น "ความสำรวมในอาชีพ"Ž จึงหมายถึง การเลี้ยงชีพด้วยการไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ โดยสรุปก็คือ "การเลี้ยงชีพโดยไม่ทำผิดศีล"Ž นั่นเอง

          สิ่งที่ต้องระมัดระวังให้ดี ก็คือ หากเราแสวงหาปัจจัย ๔ มาด้วยความไม่สำรวม ในศีล ปัจจัย ๔ ที่ได้มาก็ไม่บริสุทธิ์ เพราะได้มาด้วยพฤติกรรมที่ไม่บริสุทธิ์ อาชีพที่ทำนั้นก็เป็นอาชีพที่ไม่บริสุทธิ์ ธาตุ ๔ ที่เติมเข้าไปก็เป็นธาตุไม่บริสุทธิ์ตามไปด้วย ทำให้อัตราการตายของเซลล์ในร่างกายเพิ่มขึ้นตามไปอีกด้วย ทุกข์โทษต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตตามมาอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจถูกในเรื่องความสำรวมในอาชีพนั้น จึงมีความ สำคัญต่อชีวิตของคนเราอย่างมาก เพราะทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่า

          ประการที่ ๑ การดำรงชีพของมนุษย์กับสัตว์มีความแตกต่างกันอย่างไร
          ประการที่ ๒ กรรมดี-กรรมชั่วที่เกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพมีความแตกต่างกันอย่างไร
          ประการที่ ๓ สัมมาอาชีพกับมิจฉาอาชีพมีความแตกต่างกันอย่างไร

          ผลจากการที่เราสามารถแยกแยะ ๓ เรื่องนี้ได้ก็คือ ทำให้เราสามารถแยกแยะตัดสินได้ ว่า อะไรถูก-ผิด ดี-ชั่ว บุญ-บาป ควรทำ-ไม่ควรทำ ทำให้สามารถลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดจาก "ปัญหาการดำรงชีพŽ" และ "ปัญหาการอยู่ร่วมกัน"Ž ลงไปได้อย่างมาก

๙.๑ การดำรงชีพของมนุษย์กับสัตว์มีความแตกต่างกันอย่างไร

          มนุษย์กับสัตว์นั้น ต่างก็ยังมีธาตุในตัวที่ไม่บริสุทธิ์ จึงต้องเติมธาตุ ๔ ให้กับร่างกายของตัวเองเช่นเดียวกัน แต่การเติมธาตุ ๔ ของมนุษย์กับสัตว์มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

          สัตว์เติมธาตุ ๔ ด้วยวิธีการที่ตรงไปตรงมา ไม่สลับซับซ้อน ขณะที่มนุษย์ต้องทำงาน หลายขั้นตอน จึงจะได้ปัจจัย ๔ มาเติมธาตุ ๔ ให้ตนเอง การเติมธาตุ ๔ ของมนุษย์ จึงมีความสลับซับซ้อนกว่าสัตว์มากมายนัก

          ยกตัวอย่างเช่น

          การเติมธาตุน้ำ เมื่อสัตว์กระหายน้ำ ก็จะเดินตรงไปที่แหล่งน้ำ แล้วดื่มน้ำดับกระหาย สัตว์เติมธาตุน้ำเข้าไปอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ขณะที่มนุษย์มีเครื่องดื่มทั้งดีและทั้งเลวสารพัดชนิด บางคนกระหายน้ำแทนที่จะหาน้ำดื่ม กลับไปดื่มเหล้า บางคนดื่มทั้งเหล้า ดื่มทั้งเบียร์ บางคนดื่มไวน์ที่ราคาสุดแสนแพง ขวดละเป็นแสน ๆ ก็มี มนุษย์เติมธาตุน้ำด้วยความสลับซับซ้อนแบบนี้

          การเติมธาตุลม สัตว์สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปให้เต็มปอด แล้วก็หายใจ เอาอากาศเสียออกมา ตรงไปตรงมาแบบนี้ ขณะที่มนุษย์มีน้ำหอมสารพัดกลิ่น มีทั้ง กลิ่นกุหลาบ กลิ่นส้ม กลิ่นมะลิ บางครั้งก็มีเครื่องปรับอากาศ เป่าอากาศเย็น ๆ ไว้ในห้อง อีกด้วย มนุษย์เติมธาตุลม ด้วยความสลับซับซ้อนแบบนี้

          การเติมธาตุดิน สัตว์กินพืชก็ไปหาหญ้ากิน ส่วนสัตว์กินเนื้อก็ไปตะปบเหยื่อกิน แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น เพื่อที่จะให้ได้อาหารมาสักมื้อหนึ่ง จะต้องไปไถพื้นดิน ไปหว่านพืช ไปพรวนดิน ไปปลูกพืช ไปรดน้ำ ไปใส่ปุ๋ย ไปไล่แมลง ไปเก็บเกี่ยว ไปทำการค้าการขาย ทำการตลาดกันอีกสารพัด จึงจะได้วัตถุดิบมาทำอาหาร ซึ่งต้องผ่านการปรุงอีกหลาย ขั้นตอน จึงจะได้อาหารมากินสักมื้อหนึ่ง มนุษย์เติมธาตุดินด้วยความสลับซับซ้อนแบบนี้

          การเติมธาตุไฟ สัตว์ไปนอนผึ่งแดดให้ตัวอุ่นสักพักหนึ่ง มันก็หายหนาวแล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่แบบนั้น ต้องไปหาเครื่องนุ่งห่มมาสวมใส่กันหนาว แต่ขั้นตอนการผลิตที่กว่าจะได้เครื่องนุ่งห่มมาสักชิ้นนั้น มีความสลับซับซ้อนอีกหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่พวกหนึ่งต้องปลูก ฝ้าย ปลูกป่าน เพื่อเอามาปั่นเป็นเส้นด้ายไว้ใช้ทอผ้า พวกหนึ่งไปล่าสัตว์มาถลกหนังบ้าง ตัดขนบ้าง เพื่อทำเป็นเสื้อผ้า กว่าจะได้เสื้อผ้ามาเติมธาตุไฟให้ร่างกายเกิดไออุ่นไว้ป้องกัน ความหนาว ก็ต้องผ่านขั้นตอนซับซ้อนแบบนี้

          จากตัวอย่างที่ยกมานี้ ย่อมชี้ให้เราเห็นว่า การเติมธาตุ ๔ ของมนุษย์นั้น มีหลายขั้นตอน เริ่มจากการหาปัจจัย ๔ เป็นตัวบังคับให้ต้องทำงานอาชีพ เมื่อทำงานอาชีพจึงได้เงินมา เมื่อได้เงินมาแล้ว จึงนำเงินนั้นไปซื้อปัจจัย ๔ มาใช้เติมธาตุ ๔ ให้กับร่างกาย

          ตรงนี้เอง ที่มนุษย์หลุดประเด็นสำคัญกันทั้งโลก เพราะเมื่อถามว่า "เราทำงานไปทำไม"Ž คนส่วนมากก็มักจะตอบว่า ทำงานเพื่อหาเงิน น้อยคนนักที่จะตอบว่า เพื่อเติม ธาตุ ๔ ให้กับร่างกาย ผลที่ตามมาก็คือ เราจะแยกระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่วไม่ออก ต่อจากนั้นเราก็จะแยกงานดีกับงานชั่วไม่ออกตามมาอีกด้วย

๙.๒ กรรมดี-กรรมชั่วที่เกิดขึ้น จากการประกอบอาชีพ มีความแตกต่างกันอย่างไร

          แท้ที่จริงแล้ว ในขณะที่เรากำลังทำงานอาชีพอยู่นั้น เราได้ถูกบังคับให้ "ทำกรรม"Ž ไปด้วย

          คำว่า "กรรม"Ž เป็นคำกลาง ๆ มีทั้ง "กรรมดีŽ" และ "กรรมชั่ว"Ž

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า การดำเนินชีวิตของทุกคนในโลกนี้ล้วนตกอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรมŽ ด้วยกันหมดทั้งสิ้น ดังธรรมภาษิตที่ปรากฏในจูฬนันทิยชาดก ว่า

          คนทำกรรมใดไว้ ย่อมเห็นกรรมนั้นในตน

          คนทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี

          คนทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

          คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

          จากความจริงในเรื่องกฎแห่งกรรมนี้เอง ทำให้เราได้ทราบว่า ในการทำงานอาชีพนั้น ถ้าหากเราเลือกอาชีพถูก ก็เท่ากับว่าเรากำลังทำกรรมดี หรือเรากำลัง ทำอาชีพที่เป็น กรรมดีŽ เงินทองที่ได้รับตอบแทนมานั้น ก็เป็นเงินที่มาจากการทำกรรมดี แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเลือกอาชีพผิด ก็เท่ากับว่าเรากำลัง "ทำอาชีพที่เป็นกรรมชั่ว"Ž ในขณะที่เรา ทำงานอยู่นั้น ก็กลายเป็นว่ากำลังก่อกรรมชั่วอยู่ด้วย

          บางคนอาจจะแย้งว่า การประกอบอาชีพไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมดี-กรรมชั่ว เพราะไม่ว่าจะทำอาชีพดีหรืออาชีพเลว ก็ได้เงินเหมือนกันหมด จึงไม่จำเป็นต้องสนใจว่า อาชีพนั้นเป็นสัมมาอาชีพหรือมิจฉาอาชีพ แต่ถ้าได้ไตร่ตรองให้ลึกซึ้งแล้ว ก็จะพบว่า เงินที่ได้รับจากสัมมาอาชีพกับมิจฉาอาชีพนั้น ไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่พัน กี่ล้านก็ตาม สิ่งที่ได้รับกลับมานั้น แตกต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับดินหลายประการ กล่าวคือ

          ๑ "ความสะอาด"Ž กับ ความสกปรกŽ ของเงินที่ได้รับกับความแปรเปลี่ยนของธาตุในตัว ก็แตกต่างกัน

          ๒ อัตราการตายการเกิดของเซลล์ ในขณะที่ประกอบอาชีพดีกับอาชีพชั่ว ก็แตกต่าง กัน

          ๓ "สุขภาพกาย"Ž กับ สุขภาพจิตŽ อันเนื่องมาจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ก็ แตกต่างกัน

          ๔ "ความสุข"Ž กับ ความทุกข์Ž ในการแสวงหา การเก็บรักษา การใช้เงินก้อนนั้นเลี้ยงชีวิต ก็แตกต่างกัน

          ๕ "นิสัยดีŽ" กับ "นิสัยเลว"Ž ที่ติดตัวไปตลอดชีวิต ก็แตกต่างกัน

          ๖ "บุญ"Ž กับ "บาป"Ž ที่ติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ ก็แตกต่างกัน

          ๗ "มิตร"Ž กับ "ศัตรูŽ" ที่เกิดจากอาชีพดีกับอาชีพชั่ว ก็แตกต่างกัน

          ๘ "ความรุ่งเรืองŽ" กับ "ความตกต่ำ"Ž ในชีวิตที่ได้รับในชาตินี้และในชาติหน้า ก็แตกต่างกัน

          คนเรานั้นเมื่อทำอาชีพชั่ว ก็เท่ากับทำกรรมชั่วไปด้วย ธาตุในตัวก็สกปรกเพิ่มขึ้น เซลล์ในตัวก็ตายเพิ่มขึ้น สุขภาพกายก็โทรม สุขภาพใจก็เสื่อม ทั้งกายและใจก็มีแต่ทุกข์สถานเดียว นิสัยเลวก็เพิ่มขึ้น นิสัยดีก็ลดลง หรืออาจหมดไป แบกบาปเพิ่มขึ้น บุญลดลง ไม่มีมิตรดี มีศัตรูเพิ่มขึ้น ชีวิตในชาตินี้ตกต่ำยังไม่พอ ชีวิตในชาติต่อไปยังจะตกต่ำยิ่งกว่า อาจ ตกต่ำถึงขั้นตกนรก พ้นจากนรกก็ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน นี่คือ "เส้นทางชั่ว"Ž ที่ "ผู้ประกอบอาชีพที่เป็นกรรมชั่ว"Ž จะต้องได้รับ "ผลวิบากของกรรมชั่ว"Ž อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเลย

          ในทางตรงกันข้าม "ผู้ประกอบอาชีพที่เป็นกรรมดีŽ" ย่อมเดินอยู่บน "เส้นทางแห่งความดีŽ" ย่อมจะได้รับ "ผลวิบากของกรรมดีŽ" อย่างแน่นอน เพราะเมื่อเรามองว่า ทำงานเพื่อหาเงินมาเติมธาตุ ๔ ให้ตัวเรา ความสำรวมในอาชีพก็จะเกิดขึ้น ความรู้ประมาณในการหา การเก็บ การใช้ให้พอดีกับร่างกายก็จะตามมา ความทุกข์ย่อมลดลง จิตใจย่อมบริสุทธิ์สะอาด อัตราการตายของเซลล์ย่อมน้อยลง มีสุขภาพกายดี มีสุขภาพจิตเยี่ยม ได้นิสัยดี ๆ ได้มิตรเพิ่มขึ้น ได้บุญเพิ่มขึ้น ได้ความเจริญรุ่งเรืองในชาตินี้ ซึ่งจะต่อเนื่องไปถึงชาติหน้าอีกด้วย
ดังนั้น การพิจารณาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของคนเรา จึงดูแต่จำนวนเงินหรือ ผลประโยชน์ที่ได้รับมาไม่ได้ จะต้องคำนึงถึงเส้นทางของความดีกับเส้นทางของความชั่วด้วย

          เพราะผลบั้นปลายที่ได้รับจากกรรมชั่วนั้นร้ายแรงเกินกว่าที่เราคาดคิดมากมายนัก เมื่อ ถึงคราวละโลก เงินทองนั้นไม่ว่าหามาได้มากเท่าใด ก็ต้องทิ้งไว้เบื้องหลังทั้งหมด มีแต่บาปกรรมเท่านั้นที่ติดตัวเราไปตลอด ทำให้ชีวิตต้องพบกับความยากจน ความเจ็บป่วย ความโง่เขลาตามติดไปอีกหลายภพหลายชาติ และยังต้องไปตกนรกหมกไหม้จนไม่ได้ผุด ได้เกิดกลับมาเป็นมนุษย์อีกด้วย

๙.๓ เส้นทางของสัมมาอาชีพกับมิจฉาอาชีพมีความแตกต่างกันอย่างไร

          เมื่อเราแยกแยะความแตกต่างระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่วจากการประกอบอาชีพได้แล้ว เราก็จะพบว่า ด้วยหลัก กฎแห่งกรรมŽ นี้เอง ช่วยให้สามารถแบ่งอาชีพของคนเราได้เป็น ๒ ประเภท คือ

          ๑ สัมมาอาชีพ คือ ผู้เลี้ยงชีพด้วยการสร้างกรรมดี

          ๒ มิจฉาอาชีพ คือ ผู้เลี้ยงชีพด้วยการสร้างกรรมชั่ว

          คนทั้งสองประเภทนี้ ถ้าดูอย่างผิวเผินอาจเห็นว่าเดินอยู่บนเส้นทางคนละเส้น ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเดิน ไม่มีวันที่จะมาบรรจบร่วมทางกันได้

          แต่ความจริงแล้ว คนทั้งสองประเภทนี้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เพราะไม่ว่าคนดีหรือคนชั่วประกอบอาชีพ ก็ทำกรรมอยู่บนเส้นทางเดียวกัน นั่นคือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ แต่สิ่งที่แตกต่างกัน ก็คือ อยู่ใน ทิศทางที่ตรงกันข้ามŽ บนเส้นทางเดียวกัน

          ดังนั้น ทางดีกับทางชั่ว จึงมิได้อยู่กันคนละเส้นทาง แต่อยู่บนเส้นทาง กฎแห่งกรรมŽ เดียวกัน ทว่าเดินสวนทางกันคนละเป้าหมาย คนละทิศทาง คนละแรงผลักดัน ผลบั้นปลาย จึงออกมาแตกต่างกัน

          ตัวอย่างเช่น คนสองคน คนหนึ่งชั่ว คนหนึ่งดี คนชั่วเลี้ยงชีพด้วยการทุจริตหลอกลวง ส่วนคนดีเลี้ยงชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งสองคนนี้ทำงานหาทรัพย์มาได้เหมือนกัน แต่การกระทำในขณะที่กำลังประกอบอาชีพย่อมต่างกันอย่างแน่นอน

          คนที่เลี้ยงชีพด้วยการทุจริต ก่อนจะหลอกลวงผู้อื่นได้นั้น จะต้องโกหกตัวเองอย่างน้อยที่สุดสามครั้ง ครั้งแรกคือสร้างเรื่องโกหก ครั้งที่สองคือโกหกสมความตั้งใจ ครั้งที่สามคือตามจำเรื่องที่เคยโกหกไว้ให้ขึ้นใจ หลังจากนั้นเป็นต้นไป สิ่งที่เขาหวาดระแวงที่สุดก็คือ การ ถูกจับโกหกได้ ดังนั้น เพื่อปกปิดไม่ให้ความจริงเปิดเผยออกมา เขาก็ต้องทำชั่วเพิ่มขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาก็ต้องตามโกหกเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไปตลอดชีวิต

          สิ่งที่น่าคิดก็คือ คนที่วันหนึ่ง ๆ ต้องตามจำเรื่องโกหกหลาย ๆ เรื่องไปจนตลอดชีวิต จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะไม่ว่าไปทำงานการใด ก็ต้องคอยหวาดระแวงว่า ความเท็จ ที่ปกปิดไว้จะถูกเปิดโปงอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้องหวาดระแวงแบบนี้อยู่ทุกวัน สุขภาพกาย ก็โทรม สุขภาพจิตก็ย่ำแย่ ผลสุดท้ายก็กลายเป็นคนที่สับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องที่ตนโกหกไว้ ต้องกลายเป็นคนป่วยด้วยโรคประสาทหลอนบ้าง โรคความจำเสื่อมบ้าง ซึ่งเป็น ผลกรรมที่เกิดจากการหลอกลวงผู้อื่น แต่ต้องโกหกตัวเองตลอดชีวิตนั่นเอง

          เมื่อเรามีความเข้าใจมาถึงตรงนี้ ก็จะเห็นภาพรวมของเส้นทางชีวิตแล้วว่า มนุษย์เริ่ม หลุดออกจากเส้นทางแห่งการทำกรรมดีเข้าสู่เส้นทางแห่งการทำกรรมชั่วตั้งแต่ไม่เฉลียวใจ คิดว่า เป้าหมายแท้จริงของการทำงาน ก็คือการเติมธาตุ ๔ ให้กับร่างกาย แต่เพราะเราไม่เฉลียวใจนี่เอง ปัญหาที่ตามมาก็คือ ไม่สามารถแยกแยะตัดสินว่าอะไรถูก-ผิด อะไร ดี-ชั่ว อะไรบุญ-บาป อะไรควรทำ-ไม่ควรทำ ได้ตรงตามความเป็นจริง ทำให้ก่อปัญหา ต่าง ๆ ขึ้นตามมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผลสุดท้ายก็คือ ได้ความทุกข์จากการดำเนินชีวิตไปในเส้นทางของกรรมชั่วอย่างถลำลึกโดยไม่รู้ตัว ชีวิตจึงต้องพบกับความตกต่ำทุกข์ยาก อีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น ก็คือ จิตใจจะถูกพอกพูน ห่อหุ้ม แช่อิ่ม หมักดอง ด้วย "อาสวกิเลส"Ž ให้แน่นหนามากขึ้นไปอีก ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัสต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น

(อ่านต่อฉบับหน้า)

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล