ฉบับที่ 67 พฤษภาคม ปี 2551

การบริหารงานที่มุ่งเน้นด้านวัตถุและจิตใจไปพร้อมๆกัน

 

 

        ทำไมในปัจจุบันนี้นักธุรกิจทั่วไปมักจะนิยมอ่านตำราบริหารงานของฝรั่ง ในศาสนาพุทธมีหลักคำสอนซึ่งเกี่ยวกับบริหารงานไหมเจ้าค่ะ

 

        ความจริงในเรื่องของการบริหารงาน ตำรับตำราทางโลก ที่จริงเขาก็ไม่เลวหรอก เพียงแต่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ ที่ว่าไม่สมบูรณ์มันเป็น อย่างไร
คือการบริหารทางโลกมักมุ่งเน้นไปที่ความสำเร็จเป็นหลัก ที่เรียกว่าความสำเร็จเป็นหลักคือมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลักนั่นเอง
พอมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก ก็เข้าทำนองที่เราเรียกว่ามุ่งวัตถุ

 

 

      พระองค์จึงทรงมุ่งเน้นให้เราขณะที่บริหารไป อย่ามุ่งแค่ material หรืออย่ามอง แค่ประโยชน์ตน ประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น แต่ให้คำนึงถึงประโยชน์ทั้งตนและท่าน ทั้งทางด้านวัตถุ และทางด้านจิตใจไปพร้อมๆ กัน ที่เรียกว่าประโยชน์ทางด้านจิตใจก็อย่างที่บอก คือแก้ไขนิสัยใจคอของตัวเองที่ไม่ดีไปเสีย บุญกุศลก็เพิ่มพูนให้กับ ตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

 

   เป็นหลัก จนกระทั่งลืมทางด้านจิตใจกันไป เพราะว่า พอมุ่งเอาความสำเร็จ ซึ่งมนุษย์ส่วนมากมุ่งที่ ความร่ำรวย มุ่งที่ความเด่นความดังอีกนั่นแหละ ส่วนใครจะกระทบอย่างไร ช่างเถอะ ขอให้เราได้รวย ได้เด่น ได้ดังมาเสียก่อน นี้ก็เป็นแนวทางการ บริหารทางโลกในตำรับตำรายุคปัจจุบัน

       ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงทราบดีว่า มนุษย์จริงๆ แล้วเกิดมาทำไม ที่จริงคือเกิดมา สำหรับสร้างบุญสร้างบารมี เกิดมาเพื่อแก้ไขตัวเอง มีข้อผิดพลาดอยู่อย่างไรติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา แก้เสียให้หมดในชาตินี้ แล้วก็ขณะที่กำลังทำมาหากิน ซึ่งแน่นอนล่ะ เพราะเรื่องการทำมาหากินนั่นแหละ ทำให้ต้องบริหารงานอันนั้น อันนี้ อันโน้นขึ้นมา

       ในระหว่างทำมาหากินอยู่นี่เอง ก็ถือโอกาสปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สร้างความดี สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป พูดง่ายๆ ในสายตาของพระพุทธศาสนามองว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพื่อสร้างความดี เพื่อแก้ไขตัวเองเป็นหลัก ส่วนเรื่องความรวย เรื่องความสำเร็จ แบบโลกๆ อันนั้นเป็นแค่ของแถม พระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงมองโลก ทรงมองพวกเราอย่างนี้

       เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงมุ่งเน้นให้เราขณะที่บริหารไป อย่ามุ่งแค่ material หรืออย่ามอง แค่ประโยชน์ตน ประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น แต่ให้คำนึงถึงประโยชน์ทั้งตนและท่าน ทั้งทางด้านวัตถุ และทางด้านจิตใจไปพร้อมๆ กัน ที่เรียกว่าประโยชน์ทางด้านจิตใจก็อย่างที่บอก คือแก้ไขนิสัยใจคอของตัวเองที่ไม่ดีไปเสีย บุญกุศลก็เพิ่มพูนให้กับ ตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

      เมื่อพระองค์ทรงมองอย่างนี้ มุ่งหวังที่จะให้พวกเราทำอย่างนี้ จึงแนะว่า ลูกเอ๊ย จะทำมาหากิน อะไร จะบริหารงานอย่างไร เห็นช่องทางจะร่ำรวยในทางที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมล่ะก็ ทำไปเถอะ ไม่ว่าหรอก จะบริหารงานส่วนตัว หรือทำกันเป็นองค์กร ทำเป็นบริษัทใหญ่ๆ หรือในระดับประเทศก็ทำไปเถอะ พระองค์ไม่ตำหนิแต่ว่าให้คำนึงว่างานทุกชิ้นได้เพิ่มพูนศีลธรรมให้กับตัวเอง เพิ่มพูนศีลธรรมให้กับเพื่อนร่วมงาน เพิ่มพูนศีล เพิ่มพูนธรรมให้กับสังคม ประเทศชาติ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยนี่คือเป้าใหญ่ใจความของการ บริหารงาน ซึ่งชาวพุทธถูกอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

 

       จะทำงาน อะไรก็ทำไป จะบริหารงานอย่างไร จะวิธีไหนก็ ไม่ว่า แต่จำไว้ บริหารไปให้ศีลธรรมประจำใจมีแต่เพิ่มพูน ที่มีโอกาสจะตกนรกอย่าไปทำเลย ส่วนว่าเมื่อศีลธรรมเพิ่มพูนขึ้น มากขึ้น ในระหว่างนั้น มันอาจจะต้องใช้จ่ายมากขึ้นไปบ้าง ก็ช่างประไรเล่า ในเมื่อไม่ถึงกับขาดทุนขาดรอนกำลังทรัพย์หย่อนลงไปสักหน่อย แต่ภูมิศีล ภูมิธรรม มันเพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะ ยอมเถอะลูก อย่างนี้แล้ว จะประสบความสำเร็จข้ามภพข้ามชาติกันอีกเหมือนกัน

 

     เมื่อเราถูกอบรมกันมาอย่างนี้ บางทีเราก็มักละเลยที่จะแก้ไขปรับปรุงในเรื่องขั้นตอนทางเทคโนโลยี หรือไปผลิตเทคโนโลยี ใหม่ๆ มาใช้ในการบริหาร บางทีก็ทำให้การบริหารทางด้านวัตถุล้าหลังไป แต่ว่ามีความก้าวหน้าทางด้านจิตใจมากเลย คือทำงานไปด้วย ก็มีน้ำจิตน้ำใจกันไปด้วย คือในระหว่างนั้นทำทานไป ก็เพิ่มพูนจิตเมตตาไปให้กับเพื่อนร่วมงาน
ใครตกทุกข์ได้ยาก ก็มีความกรุณาหอบหิ้วลากจูงกันไป ไอ้ที่จะปลดกันง่ายๆ ลอยแพกันง่ายๆ ไม่มี มีแต่ประคับประคองกันไปให้ถึงที่สุดทีเดียว

      ยิ่งไปกว่านั้น ทำงานไปด้วย ก็พยายามที่จะ สร้างสามัคคีธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านในเมือง ในหมู่คณะ ทำงานไปก็ได้บุญไป เดี๋ยวก็ทอดผ้าป่า เดี๋ยวก็ ทอดกฐิน เดี๋ยวก็ช่วยกันสร้างสาธารณประโยชน์ เอาความรวย เอาความสำเร็จที่ได้นั้นเป็นฐานในการสร้างคุณงามความดี รวยมาเท่าไร ก็ใช้ไปทำบุญทำทาน ทำงานหนักเท่าไร
กลายเป็นเพิ่มความเมตตากรุณาแก่กัน เพิ่มความหนักแน่นมั่นคงให้กับจิตใจไปด้วย สิ่งเหล่านี้เมื่อได้มาแล้วมันคุ้มยิ่งกว่า สมบัติพันล้าน หมื่นล้าน หรือมหาสมบัติท่วมฟ้าท่วมโลกเสียอีก

      เพราะฉะนั้นขอฝากไว้กับทุกคนว่า จะทำงาน อะไรก็ทำไป จะบริหารงานอย่างไร จะวิธีไหนก็ ไม่ว่า แต่จำไว้ บริหารไปให้ศีลธรรมประจำใจมีแต่เพิ่มพูน ที่มีโอกาสจะตกนรกอย่าไปทำเลย ส่วนว่าเมื่อศีลธรรมเพิ่มพูนขึ้น มากขึ้น ในระหว่างนั้น มันอาจจะต้องใช้จ่ายมากขึ้นไปบ้าง ก็ช่างประไรเล่า ในเมื่อไม่ถึงกับขาดทุนขาดรอนกำลังทรัพย์หย่อนลงไปสักหน่อย แต่ภูมิศีล ภูมิธรรม มันเพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะ ยอมเถอะลูก อย่างนี้แล้ว จะประสบความสำเร็จข้ามภพข้ามชาติกันอีกเหมือนกัน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล