ฉบับที่ 52 กุมภาพันธ์ ปี 2550

อะไรที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ :อิสุรีย์ เหล่าศรีไพบูลย์ เจ้าของกิจการขายชุดนักเรียน

 

 

             แม่บุญธรรมมาชวนทำบุญเลี้ยงพระถวายสังฆทานพระ ๓๐,๐๐๐ วัดทั่วประเทศ ในวันสลายร่างคุณยาย และก็ชวนให้มาวันงานด้วยกัน โดยบอกว่า เลี้ยงพระตั้ง ๓๐,๐๐๐ วัด ไม่เคยมีมาก่อน ทำแล้วได้บุญแรง เราจึงยอมมา แต่พอมาถึง เห็นทั้งพระทั้งคนมากันมหาศาล คนเยอะมากจนเราทำอะไรไม่สะดวก อีกทั้งหลวงพ่อยังให้นั่งสมาธินาน กว่าจะได้ทำบุญ กว่าจะได้เดินทางกลับจากวัดก็ ๔ ทุ่มเข้าไปแล้ว ถึงบ้านก็ตี ๓ ทำให้วันนั้นเราไม่ประทับใจเลย ทั้งเหนื่อย ทั้งกลับดึก จนรู้สึกเข็ด นับจากนั้นใครชวนมาวัด เราไม่ยอมมาอีกเลย

             คนในบ้านเราทุกคนแอนตี้วัดหมด คุณแม่ก็ไม่เข้าวัดนี้ สามีก็เกลียดวัดมาก เขาจะพูดเสมอว่า ไปทำบุญกับวัดไหนก็เหมือนกัน อย่าไปทำบุญกับวัดพระธรรมกายเลย เพราะทำบุญกับวัดนี้ต้องทำทีละเยอะๆ แถมพวกที่ทำบุญน้อย ยังต้องนั่งหลังๆ คนที่ทำบุญมากถึงจะได้นั่งหน้า เหมือนแบ่งชั้นวรรณะ

              แม้หลังจากนั้นเราจะไม่ยอมไปวัดอีกเลย แต่มีผู้นำบุญของวัดที่สนิทกันชอบมารับลูกสาวคนเล็ก ไปนั่งสมาธิที่วัดกับเขาทุกเดือน และผู้นำบุญก็มาคอยตื๊อ ชวนเราไปนั่งสมาธิที่พนาวัฒน์ จ.เชียงใหม่ ชวนให้เราติดจานดาวเทียมถ่ายทอดธรรมะไปที่บ้าน ที่เรียกว่าช่อง DMC เรายอมติด เพราะอยากให้อาม่าที่กำลังป่วยได้ดู แต่ดูแล้วอาม่าก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เราเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ทำให้ทั้งบ้านไม่มีใครยอมดู DMC เลยเป็นปี จนกระทั่งมีผู้นำบุญมาตื๊อให้ขึ้นพนาวัฒน์อีก เขาตื๊อบ่อยมาก จนต้องยอมขึ้นเพื่อตัดความรำคาญ โดยสามีกำชับไว้ว่า หากขึ้นไปแล้วอย่าไปพูดคุยกับใครมาก หากใครชวนทำบุญก็อย่าทำ ให้เฉยๆ ไว้ พอไปพนาวัฒน์เราได้นั่งสมาธิ โดยมีพระอาจารย์ค่อยๆ สอน ค่อยๆ อธิบาย เรานั่งแล้วรู้สึกดี แล้วก็ยังได้ฟังธรรมะ อธิบายประวัติวัด ประวัติหลวงพ่อ ประวัติคุณยาย เราฟังแล้วก็รู้สึกซาบซึ้ง ว่าที่ผ่านมาเราไม่น่าเข้าใจท่านและเข้าใจวัดผิดถึงขนาดนี้เลย พอลงมาจาก พนาวัฒน์แล้ว จึงไปจองไปพนาวัฒน์ให้แม่ แต่แม่โมโหมาก และต่อว่าเราอย่างไม่พอใจ แล้วแม่ก็ จำใจไปเพราะเสียดายเงินที่จ่ายไปแล้ว พอกลับมาแม่ก็เริ่มเข้าใจวัด เข้าใจหลวงพ่อ และนับจากนั้น เราก็ชวนลูกมาวัด พาเขามานั่งสมาธิที่วัดอย่างจริงจังมากขึ้น เนื่องจากครูของ ลูกเรียกเราไปพบที่โรงเรียน เพราะการเรียนของลูกแย่มาก ได้คะแนนต่ำที่สุดในห้อง เราจึงให้เขานั่งสมาธิ เพื่อให้การเรียนของเขาดีขึ้น ก็ปรากฏว่า ได้ผลมากเลย ตอนนี้การเรียนของลูกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้เกรด ๔ จนเราเลิกห่วง


 

        แต่เปลี่ยนมาห่วงมากังวล เรื่องที่บ้าน ลูกชายคนโตเข้ากับคุณยายไม่ค่อยได้ มีปากเสียงกันบ่อย จนคุณยายบ่นว่าไม่อยากจะอยู่บ้านนี้แล้ว แถมคุณยายก็เกลียดหลานชายคนนี้ มาก เพราะเขาเป็นเด็กไม่น่ารักเลย คือ พอเข้าบ้านมาก็ถอดรองเท้าแบบเขวี้ยงไว้กลางบ้าน พูดจาไม่เข้าหูคน กวนประสาทคุณยายสารพัด จนวันๆ มีแต่ความขัดแย้ง แต่หลังจากเราเริ่มเข้าวัดแล้ว เราก็ชวนลูกชาย คนโตมาวัดด้วยกัน ปรากฏว่า เขาดีขึ้นมาก เปลี่ยนไปเป็น คนละคน กลายเป็นคนอ่อนโยน มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัวไม่่โวยวายเหมือนเมื่อก่อน จนสุดท้ายเหลือแต่สามีคนเดียวที่ยังแอนตี้วัดอยู่ เราก็หว่านล้อมเขาให้ไปปฏิบัติธรรมจนได้ เขาจึงได้มีโอกาสถามข้อสงสัยเกี่ยวกับวัดทุกข้อกับพระอาจารย์จนเคลียร์ เลยทำให้เขาเข้าใจ และนับจากนั้น ครอบครัวเราก็เหมือนครอบครัวสวรรค์ ทุกคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น นั่งสมาธิกันทุกวันเช้า-เย็น ดู DMC ทุกวัน เปิดไว้ตลอดเวลา ทำให้ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะวัดพระธรรมกายแท้ๆ ตรงนี้แหละค่ะ จึงเป็นเหตุทำให้เราเปลี่ยนใจ รู้สึกว่าวัดพระธรรมกายดีมากๆ ที่แก้ไขปัญหาครอบครัวเราได้

           ส่วนเรื่องการทำบุญ ตั้งแต่เราได้ทำบุญกับวัดมา แม้จะทำบุญมากมายแค่ไหน เงินเราก็ไม่เคยหมดเลย ซึ่งเราก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ยิ่งทำบุญ ยิ่งทำให้มีรายได้ มากขึ้น และมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวเราเสมอ แม้ชีวิตจะมีอุปสรรคบ้าง แต่สุดท้ายก็คลี่คลายไปในทางที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

 

 

 

             และทุกวันนี้ นอกจากการทำมาหาเลี้ยงชีพแล้ว ครอบครัวเราทุกคนก็ยังทำหน้าที่กัลยาณมิตรชวนคนไปวัดด้วย โดยจะแนะนำให้เขานั่งสมาธิ ชักชวนให้เขาไปพนาวัฒน์ ก่อนที่จะชวนเขามาวัดในวันที่คนมามากๆ เพราะหากเขายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีพื้นฐานในเรื่องวัด เขาอาจจะแอนตี้แบบเราในตอนแรกได้ เพราะตอนนั้นไม่มีใครอธิบายอะไรให้เราฟัง แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า การมาวัดเป็นการ มาเอาบุญ จะให้สะดวกสบายทุกอย่างเหมือนอยู่ ที่บ้าน เดินสบายๆ เหมือนไปห้าง มันเป็นไปไม่ได้ การมาวัดเราก็ต้องมาฝึกตัวด้วย มาฝึกแก้นิสัยที่ ไม่ดีในตัวเราให้หมดไป ส่วนเรื่องที่เราเคยมองว่า ทำไมจัดให้แต่คนทำบุญมากๆ นั่งหน้า ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็อยากให้ทุกคนนั่งหน้าเหมือนกันหมด แต่หากทำอย่างนั้น เราต้องสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมแบบเป็นแนวยาวตลอด ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ วัดเราไม่ได้มีที่พอขนาด นั้น และเพื่อความเป็นระเบียบ เราก็ต้องจัดตามมาตรฐานสากล ซึ่งที่ไหนเขาก็ทำกันแบบนี้ และที่สำคัญการมาวัด


 

         โดยแท้จริงแล้วเราจะมาเอาบุญ การนั่งหน้านั่งหลังไม่ได้หมายความว่า คนนั่งหน้าแล้วจะได้บุญมากกว่า คนนั่งหลังเมื่อไร ขึ้นอยู่ที่ว่าเราได้ทำใจให้ผ่องใสแค่ไหนมากกว่า ส่วนเรื่องการมาวัดนี้แล้วต้องกลับดึก ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย เพราะทีเราไปเที่ยวกลับดึกกว่านี้ยังไปกันได้ และที่สำคัญการมาวัดครั้งหนึ่ง เราได้บุญกลับไปคุ้มมาก โดยสังเกตเห็นว่า บุญทำให้ชีวิตของ ทุกคนในครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆ กิจการก็ดีขึ้น ซึ่ง ยังดีกว่าเราไม่ยอมมาวัด เพราะกลัวลำบาก กลัวกลับบ้านดึก แล้วทำให้เราไม่มีบุญพอที่จะรองรับสมบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งหากเป็นอย่างนี้ รับรองเราลำบากกว่านี้แน่

           สุดท้ายนี้ เราอยากบอกว่า รู้สึกเสียดายเวลาที่เข้าใจวัดผิด เพราะหากเราเข้าใจวัดตั้งแต่แรก ครอบครัวเราก็จะมีความสุขเร็วกว่านี้ เรื่องร้อนใจหลายๆ เรื่องในบ้านก็คงสงบเร็วกว่านี้ และที่สำคัญเราคงได้สั่งสมบุญมากกว่านี้ คงไม่ต้องเสียโอกาสสร้างบุญหลายๆ บุญไปเหมือนอย่างที่เป็นอยู่

วัดพระธรรมกายเป็นอู่ทะเลบุญ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านให้โอกาสแก่เราทุกๆ คนเท่ากัน ขึ้นกับว่าตัวเราจะไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้หรือเปล่า...

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล