ฉบับที่ 38 ธันวาคม ปี 2548

บัญชีบุญ - บัญชีบาป

 

 

 


เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

             ในปัจจุบันนี้ต้องถือว่าธุรกิจธนาคาร เป็นกิจการที่มีการขาดทุน หรือว่าล้มละลายได้ยาก เนื่องจากเป็นกิจการที่มีความละเอียด รอบคอบ เข้มงวดกวดขัน พยายามทุกวิถีทางที่จะคำนวณให้ได้ว่า แต่ละวินาทีที่ผ่านไป บัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย เป็นอย่างไร มีความผิดพลาด มีการรั่วไหลตรงไหนบ้าง

             แม้ที่สุดขณะที่กิจการกำลังได้กำไรอยู่ เขาก็พยายามติดตามดูว่า ทำไมถึงได้กำไร และมีทางใดบ้างที่จะทำให้ได้กำไรมากยิ่งขึ้นไปอีก

             ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน ถ้าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดแล้วล่ะก็ ต้องหมั่นตรวจสอบบัญชีบุญ บัญชีบาป ให้ได้ทุกวันทีเดียว

             เพราะว่าบาปอันเกิดจากอำนาจกิเลส ที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน เมื่อทำมากเข้า ๆ บาปก็จะสะสม เมื่อบาปสะสมมากเข้า ๆ อาจจะทำให้บุคคลนั้น พบกับความวิบัติได้ในพริบตา

             ยกตัวอย่าง บางคนทั้ง ๆ ที่มีสุขภาพแข็งแรงอย่างกับช้างสาร พอก่อบาปมาก ๆ เข้า จนกระทั่งบาปท่วมตัว ทำให้ล้มทั้งยืน กลายเป็นอัมพาตนอนอยู่ตรงนั้นเอง

             เพราะฉะนั้น ถ้าไม่หมั่นเช็ค ไม่หมั่นตรวจสอบบัญชีบาป เดี๋ยวเถอะชีวิตจะล้มละลายเอาง่าย ๆ

             บัญชีบุญก็เหมือนกัน ความดีที่ทำอยู่ทุกวัน ได้บุญเพิ่มขึ้นมาทุกวัน ๆ ต้องหมั่นตรวจสอบว่า ทำอย่างไรเราถึงจะได้บุญมากกว่าเดิม

             เช่น ปีนี้ได้บุญมากกว่าปีที่แล้ว ก็ต้องหาสาเหตุให้พบว่า เป็นเพราะอะไร ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวปีหน้าเกิดจับพลัดจับผลู ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ โอกาสที่จะสร้างบุญให้ได้มากขึ้นไปอีก ก็เลยหมดไป

วิธีตรวจสอบบัญชีบุญ บัญชีบาป

             ตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว หลวงพ่อเตือนพวกเราอยู่เสมอว่า วิธีตรวจสอบบัญชีบุญบัญชีบาปนั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ คือ ตอนเช้าออกจากบ้านไปทำงาน เย็นกลับมาบ้าน กินข้าวกินปลา อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว อย่าเพิ่งรีบเข้านอน สวดมนต์สักจบหนึ่ง หรือทำวัตรเย็นสักจบหนึ่งเสียก่อน แล้วนั่งสมาธิไม่ต้องมากหรอก ขอแค่หนึ่งเมื่อยก็พอ

             เมื่อนั่งสมาธิจนกระทั่งใจใสดีแล้ว ก็มาตรวจสอบดูว่า ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราเผลอไปทำบาปอะไรมาบ้าง ศีล ๕ ข้อรักษาได้ครบไหม ถ้าไม่ครบขาดข้อใดไปบ้าง

             บุญทานที่ทำเป็นอย่างไร ทำได้รอบคอบรัดกุมดีไหม ได้กรวดน้ำกรวดท่าบ้างหรือไม่ ได้อบรมลูกน้อง อบรมลูกหลานบ้างไหม คนที่อยู่ใกล้ชิดมีโอกาสได้สร้างบุญอะไรกับเขาบ้าง และวันนี้เราอารมณ์เสียไปกี่ครั้ง เมื่อพบแล้วก็หาทางแก้ไขเสียก่อน แล้วค่อยนอน

             ตื่นเช้าขึ้นมาก็หาโอกาสทำบุญทำทาน ก่อนออกจากบ้านตั้งใจรักษาศีลให้ดี สร้างบุญกันไปอย่างนี้ทุกวัน ถึงกับสรุปเอาไว้ให้ด้วยตั้งแต่ต้นปีมาแล้วว่า

             เช้าใดยังไม่ได้ทำทาน เช้านั้นอย่าเพิ่งกินข้าว

             วันใดยังไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล วันนั้นอย่าเพิ่งออกจากบ้าน

             คืนใดยังไม่ได้สวดมนต์ ยังไม่ได้นั่งสมาธิ คืนนั้นอย่าเพิ่งนอน

             วันนี้ขอถือโอกาสพูดเพิ่มอีกสักหน่อย โดยจะยกเอาคำของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่มาประชุมกัน ก่อนจะแยกย้ายออกไปประกาศพระศาสนามาเป็นแม่บท เพื่อให้พวกเราสามารถตรวจสอบตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และจะได้ปิดงบบัญชีบุญ บัญชีบาป กันอย่างถูกต้อง

             ๑ . อะนูปะวาโทไม่ว่าร้ายใคร

             สำรวจดูซิว่าตลอด ๑ ปีที่ผ่านมา เราได้เอาปากไปเป็นหอก เป็นดาบ ไปเชือด ไปเฉือน ไปทิ่ม ไปแทง ไปทำให้ใครเดือดร้อนบ้างไหม

             ถ้าพบว่ามี รีบไปขอโทษเขาเสีย จะได้ปิดบัญชีลงง่าย ๆ หน่อย อย่าให้ต้องคาราคาซังข้ามปี หรือว่าข้ามภพข้ามชาติไปเลย เคยมีเรื่องขุ่นเคืองกับใคร ก็อโหสิกรรมกันไปให้หมด

             ยังไม่พอ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงสอนเอาไว้อีกว่า คนเราถ้าจะให้มีวาจาสิทธิ์ ต้องเป็นคนที่ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ลองสำรวจตัวเองดูว่า ๑ ปีที่ผ่านมา เราได้ทำอย่างนี้หรือไม่

             ๒ . อะนูปะฆาโต     ไม่ทำร้ายใคร

             ปัจจุบันพวกเราเข้าวัดกันแล้ว คงไม่ทำร้ายใครหรอก แต่ว่าในอดีตที่ผ่านมา ก่อนจะเข้าวัดไปดูให้ดีว่า เคยไปทำร้ายอะไรใครเอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ทำร้ายทรัพย์สิน ทำลายเกียรติยศ ทำลายชื่อเสียงก็ตาม

             แม้ที่สุดเคยเบี้ยวหนี้เบี้ยวสินใครไว้ รีบเอาไปคืนเขาให้หมด แต่ว่าถ้าตอนนี้ยังไม่มีเงินจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ไปให้เขาเห็นหน้าสักหน่อย แล้วขอผ่อนผันให้เขารู้ว่า เราไม่ได้เบี้ยวนะ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีจริง ๆ

             ๓ . ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร     ความสำรวมในศีลและมารยาท

             ตรงนี้อยากจะชี้ให้ดูง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจจะไม่เข้าใจ ถึงความสำคัญของเรื่องมารยาท

             ยกตัวอย่าง บางคนเวลาทำงาน ใคร ๆ ก็อยากจะร่วมงานด้วย เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนทำงานเก่ง แต่พอทำงานเสร็จ เวลาจะกินข้าวร่วมกันนี่ ไม่มีใครอยากกินด้วยบอกว่า กินข้าวกับตาคนนี้ไม่อร่อยเลย เพราะแกเคี้ยวเสียงดังจั๊บ ๆ ๆ มีความรู้สึกเหมือนอย่างกับหลุดเข้าไปในคอกหมูอย่างนั้นแหละ

             คนที่กินข้าวเสียงดังจั๊บ ๆ นี้ถึงแม้จะไม่ผิดศีล แต่ว่าก็ไม่มีใครอยากกินข้าวด้วยหรอก และตัวเขาเองก็เก็บเอาไปน้อยใจ ว่าคนอื่นเป็นคนเอาเปรียบ เป็นคนเห็นแก่ได้ ทีงานเรียกมาช่วยทำ ทีกินล่ะไม่เคยมาเชิญเลย คราวหน้าไม่มาร่วมงานกับพวกนี้อีกแล้ว

             คนเราที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในที่ทำงาน หรือแม้แต่สามีภรรยา พี่ ๆ น้อง ๆ ก็เหมือนกัน มักไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องของการไร้มารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ไปสำรวจตรวจสอบเรื่องกิริยามารยาทให้ดี

             ๔ . มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง     รู้จักประมาณในการบริโภค

             เรื่องการใช้จ่ายก็เหมือนกัน ถ้าเกินกำลังทรัพย์ เกินฐานะ ก็จะทำให้เป็นหนี้เป็นสินได้

             ไปสำรวจตรวจสอบให้ดีว่า เรากินไม่เป็น กินล้างกินผลาญ กินจุกกินจิก จนกระทั่งทำให้สุขภาพเสียหรือไม่

             โดยเฉพาะผู้ที่เตรียมเหล้าเอาไว้เพื่อดื่มฉลองในวันสิ้นปี หรือใครที่เคยดื่มเหล้าอยู่เป็นประจำ ก็เลิกเสียทีเถอะ เพราะว่าเหล้าเป็นของที่ไม่ควรกิน กินแล้วมันจะผลาญทั้งทรัพย์ ผลาญทั้งความเป็นคนของเราหมด

             ๕ . ปัญตัญจะ สะยะนาสะนัง     นอนนั่งให้เป็น

             ปู่ย่าตายายของเราท่านนอนเป็น คือท่านจะนอนแต่หัวค่ำ แล้วตื่นตอนเช้ามืด ก่อนนอนก็จะไหว้พระ สวดมนต์ เพื่อให้ใจสงบ นั่งสมาธิต่ออีกหน่อย แล้วสำรวจตรวจสอบตัวเอง อย่างที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น เสร็จเรียบร้อยถึงจะเข้านอน

             พอถึงวันโกน วันพระ พ่อบ้านจะแยกไปนอนในห้องพระ เพื่อสำรวจตรวจสอบเรื่องมารยาทบ้าง ศีลบ้าง บุญบาปที่ตัวเองทำมาบ้าง

             ฝ่ายภรรยานอนอยู่กับลูก ๆ ก็จะอบรมลูกหลานให้เป็นคนดี สอนให้กราบพระ ให้สวดมนต์ ให้ทำภาวนา

             เพราะฉะนั้น ต้องนั่งนอนกันให้เป็น ยิ่งเวลาเข้าไปในที่สมาคม เมื่อใดควรนั่ง เมื่อใดควรยืน หรือควรนั่งก่อน นั่งหลัง ไปศึกษาให้ดี เพราะว่าแค่นั่งไม่เป็น บางทีอาจกลายเป็นการฉีกหน้าคนอื่นก็มี กลายเป็นไปลดเกียรติคนอื่นก็มี หรือกลายเป็นการลดเกียรติของตัวเองก็มี

             ๖ . อธิจิตเต จะ อาโยโค     ฝึกสมาธิไม่เลิกรา

             วัตถุประสงค์ของการฝึกสมาธินั้นมีหลายอย่าง ในเบื้องต้นฝึกเพื่อให้ใจสงบ จะได้สำรวจตรวจสอบตัวเองได้ว่า พฤติกรรมของเราตั้งแต่ต้นปี ไปกระทบกระทั่งบุคคลในทิศ ๖ อย่างไรบ้าง แล้วรีบไปขอขมาลาโทษเสีย บาปนั้นจะได้สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้

             แก่แดดแก่ลม หรือแก่บุญแก่บารมี

             ถ้าหากพบว่าเราวางตัวได้ดีกับท่านเหล่านั้นมาตลอด ก็จะได้ชื่นอกชื่นใจ แสดงว่า ๑ ปีที่ผ่านมาเราไม่แก่เปล่าเลย เพราะว่าการแก่ของคนเรามีอยู่ ๒ ประเภท คือ

             ๑ . แก่แดดแก่ลม แก่แล้วบุญบารมีไม่ได้งอกเงย ความดีอะไรก็ไม่ได้ทำ

             ๒ . แก่บุญแก่บารมี คนที่จะแก่บุญแก่บารมีได้ ทาน ศีล ภาวนา ต้องครบ แล้วการกระทบกระทั่งกับบุคคลต่าง ๆ อย่างที่ว่ามาแล้วต้องไม่มี

งบดุลชีวิตที่มีกำไร

             เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงวันสิ้นปี เรื่องอื่นถ้าหากไม่รีบร้อนนัก ก็วางไว้เสียก่อน

             แล้วมาสำรวจตรวจสอบข้อบกพร่องของตัวเอง ตั้งใจที่จะไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในข้อที่ว่า ให้ละชั่วทั้งหมด

   แล้วก็วางแผนสร้างบุญสร้างกุศลต่อไปว่า เราจะทำความดีอะไรได้บ้าง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่ว่า ทำความดีให้ถึงพร้อม

           แล้วมาร่วมใจกันทำสมาธิให้ใจผ่องใส เป็นการกลั่นใจของเราให้มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในข้อที่ว่า กลั่นกาย กลั่นใจ ให้ผ่องใส

              เมื่อทำครบทั้ง ๓ ประการนี้ย่อมได้ชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พอถึงวันสิ้นปี เวลาปิดงบดุลบัญชีบุญ บัญชีบาปแต่ละครั้ง ก็จะพบว่ามีกำไรอย่างมากมาย คือได้บุญมหาศาลนั่นเอง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล