ฉบับที่ 50 ธันวาคม ปี 2549

สมาธิเปลี่ยนชีวิต..คุณพันธ์ณรงค์ ชัยประภา

สมาธิเปลี่ยนชีวิต 

เรื่อง : Son Backhome

 

 

   ผู้จัดการคนแรกของโลกที่ทำบุญ ๑๐ ล้านรูเปียสต่อเดือน ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ด้วยการทำทานและนั่งสมาธิ 

            คุณพันธ์ณรงค์ ชัยประภา จากประเทศอินโดนีเซีย เขาเป็นหนุ่มชาวไทย เริ่มต้นการทำงาน ในประเทศอินโดนีเซีย จากการชักชวนจากเพื่อนสนิท จนกระทั่งลงหลักปักฐานมีครอบครัวที่นั้น ชีวิตของคุณพันธ์ณรงค์ มีแง่มุมหลายอย่างที่น่าสนใจ และอาจกล่าวได้ว่า เขาคือผู้จัดการคนแรก ที่มีวิธีการแก้ไขวิกฤติทางเรษฐกิจ ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใคร                 

            "ตอนนั้นบริษัท ที่ผมทำงานอยู่ ประสบภาวะร่อแร่ ดัชนีความมั่นคงดิ่งลงเหว และเมื่อใกล้จะ ล้มละลาย ผู้จัดการคนเก่าจึงตัดสินใจลาออกไป ทิ้งภาระปัญหาต่างๆ เอาไว้ ตอนนั้นผมมีตำแหน่งเป็น เพียงแค่หัวหน้าแผนกเท่านั้น แต่จู่ๆ เจ้าของบริษัทก็เรียกไปพบและถามว่า ผมพอจะรับหน้าที่เป็นผู้จัดการให้หน่อยได้ไหม ก่อนที่จะตกปากรับคำอะไร ผมก็ได้ทำข้อตกลงกับเจ้าของบริษัทว่า ผมเป็นผู้จัดการให้ได้ แต่มีข้อแม้ว่าทุกคนต้อง ร่วมมือกับผม ผมไม่ขออะไรมาก แค่ขอตัดเงินเดือน ผู้บริหารทุกคน ๗ - ๘ เปอร์เซ็นต์ แล้วขอนำเงินเหล่านั้นไปทำการกุศล" เจ้าของบริษัทตอบตกลง นับจากวันนั้นเขาจึงเป็นผู้จัดการในวัยเพียง ๒๘ ปี และรวบรวมเงินที่หักมาจากทุกคนในบริษัทเป็นเงิน ๑๐ ล้านรูเปียสต่อเดือน ได้นำเงินเหล่านั้นไปทำบุญที่วัดไทยในอินโดนีเซีย ซื้อข้าวสารถวายวัดบ้าง สร้างวัดบ้าง ทำอย่างนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลา ๒๐ ปี

             ก่อนที่เราจะติดตามผลกันว่า การบริหารงานของผู้จัดการหนุ่มหน้าใหม่ ด้วยการหักเงินคนในบริษัทไปทำบุญนั้น จะได้ผลอย่างไร มาคั่นจังหวะด้วยชีวิตในแง่มุมของความรักบ้าง

 

 

          ในจังหวะที่ทำงานอยู่ที่นั่น คุณพันธ์ณรงค์ได้พบรัก กับคุณไอดาหญิงสาวชาวอินโดนีเซีย ในเรื่องนี้ คุณไอดาเล่าว่า "ฉันเป็นชาวอินโดนีเซียโดยกำเนิด เติบโตมาในครอบครัวของชาวมุสลิม ต่อมาพอได้พบกับ คุณพันธ์ณรงค์ก็ได้ศึกษาดูใจกันอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่า ความรักก็เหมือนกับ พระคัมภีร์ที่เราต้องค่อยๆ อ่าน นอกจากอ่านหัวใจกัน และกันแล้ว ยังได้ศึกษาความเชื่อของทางฝ่ายชายด้วย เพราะถ้าความรักลงเอย แต่ความเชื่อไม่ลงรอยกัน ชีวิตคู่ก็ไม่ยืนยาว"

          ฝ่ายชายเองก็ออกตัวว่า "ผมเป็นพุทธนะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนา ที่เป็นอิสระ ถ้าใครไม่นับถือก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ให้ทำบาป และอย่าเชื่อในสิ่งที่ผมพูด ต้องลองศึกษาดู"

          "ซึ่งตอนนั้นฉันก็ใช้หลักการว่า ความเชื่อเอาไว้บนหิ้ง แต่ความจริงเราต้องศึกษา และลองปฏิบัติให้เห็นจริง เมื่อได้ศึกษาพระพุทธศาสนา และเห็นว่ามีเหตุมีผล สอนให้เป็นคนดี รวมทั้งมีหลักปฏิบัติที่เป็นสากล เมื่อศึกษาอย่างดีแล้ว ฉันก็ตัดสินใจแต่งงานกับ สามีที่เป็นชาวพุทธ ซึ่งทาง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ขัดข้อง เราจึงไม่มีพรมแดนทางด้านศาสนา และเราถือว่า ศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม ถ้าสิ่งที่สามีทำเป็นสิ่งที่ดี ฉันก็ทำตาม เช่น ไปวัดทำบุญ ฉันชอบทำกับข้าวไปถวายพระ แม้กลับจากวัดแล้วฉันก็จะเตรียมกับข้าวไว้สำหรับใส่บาตรวันพรุ่งนี้ด้วย"

           ซึ่งก็นับได้ว่าชีวิตในแง่มุมของความรัก และชีวิตครอบครัวของ คุณพันธ์ณรงค์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ในด้านของการทำงานจะเป็นอย่างไร

 

 

            "จากการที่ผมได้นำเงิน จากพนักงานทุกคน ไปทำบุญอย่างต่อเนื่อง ต่อมาไม่นานผลประกอบการของบริษัท เติบโตขึ้นตามลำดับ กิจการก็ดีขึ้นๆ มากจนต้องขยายงานเพิ่ม จากขาดทุนใกล้ล้มละลาย กลายเป็นเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด จากที่มี พนักงานในบริษัททั้งหมด ๔๐๐ - ๕๐๐ คน ปัจจุบันนี้ขยายเป็น ๔,๐๐๐ คน ตอนนั้นก็แอบภูมิใจครับ คิดว่าตัวเองเก่ง เพราะจริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้เรื่องบุญมากหรอกครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงคิดอย่างนั้น และพอบริษัทเจริญขึ้น เงินดี หน้าที่การงานสูงขึ้น ก้าวสู่ระดับผู้บริหาร ก็เปิดโอกาสให้สิ่งไม่ดีต่างๆ เข้ามา เช่น เหล้า บุหรี่ เที่ยวผู้หญิง และการที่ต้องทำงานกับคนงาน ๔,๐๐๐ กว่าคน และต้องไปให้ถึงเป้าทุกเดือน ทำให้เครียด โมโหฉุนเฉียว อารมณ์เสียบ่อยๆ จนเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ธันวาคม ๒๕๔๗ ผมกลับบ้านที่เมืองไทย เห็น พี่สาวกำลังดูที่จอโทรทัศน์อย่างตั้งใจ จึงไปนั่งดู ด้วย ภาพในจอเป็นเรื่องราวของกฎแห่งกรรมที่ฉาย จากแผ่น VCD ที่เพื่อนคนหนึ่งเอามาให้กับพี่สาว ผมเห็นแล้วขนลุก พร้อมกับตระหนักขึ้นมาทันทีว่า "เราพลาดไปเสียแล้ว" ตอนที่เรากินเหล้าเมายา ความรู้พื้นฐานเราก็พอมีอยู่บ้างว่ามันผิดศีล แต่ก็ไม่เคยรู้อย่างชัดเจนมาก่อนว่า เมื่อทำผิดแล้วจะเกิดผลอย่างไรกับชีวิต แต่พอได้มาดูและรู้ว่ามีผลหนักหนา ถึงกับต้องไปตกนรก... รู้แล้วขนหนาวลุกเลยครับ"

        คุณพันธ์ณรงค์ นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาในการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อตระหนักว่า ความรู้ในเรื่องของธรรมะ และบุญบาปนั้น มีหลายอย่างที่ตนยังไม่รู้อย่างถ่องแท้ จึงตัดสินใจติดจานดาวธรรมที่อินโดนีเซีย หลังจากได้ศึกษาเรื่องบาปบุญจนเข้าใจ และได้นั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเลิกอบายมุข ทุกอย่าง ประตูที่เอื้อต่อการไปสู่อบายภูมิ ถูกปิดล็อกแน่นสนิท ทั้งเหล้า บุหรี่ เที่ยวผู้หญิง เขา ไม่เกี่ยวข้องกับมันอีกแล้ว และมุ่งหน้าสั่งสมบุญ ทุกบุญไปพร้อมๆ กับการกลั่นเกลาจิตใจให้ผ่องใส

           "ตอนนี้ผมนั่งสมาธิทุกวันครับ วันหนึ่งรวมได้ ๒-๓ ชั่วโมง พอปล่อยใจนิ่งๆ ว่างๆ ก็เห็นแสงสว่างๆ ปรากฏขึ้นมา ซึ่งเป็นแสงที่เห็นแล้วมีความสุข ตอนนี้ ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณหลวงพ่อมากๆ ที่เป็นแสงสว่าง ให้กับผม เพราะถ้าไม่มีหลวงพ่อ ผมอาจจะทำอะไร ผิดพลาดเพราะความไม่รู้ไปอีกมาก ผมเข้าใจแล้วว่า ทุกสิ่งที่ได้มานั้นเกิดขึ้นจากบุญที่ผมทำมา"

 

 

         นอกจากนี้คุณไอดาก็ได้นั่งสมาธิตามสามีด้วย เธอมีประสบการณ์จากสมาธิมาเล่าให้ฟังว่า "ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ ฉันก็จะหลับตาเบาๆ นึกนิมิตดวงแก้ว องค์พระ นึกไปเรื่อยๆ สักระยะ ก็รู้สึกเบา สบาย ว่างๆ โล่งๆ แล้วก็เห็นหลวงปู่องค์สีทอง อยู่ในศูนย์กลางกาย ท่านนั่งนิ่งสงบ สว่างมาก พอมองต่อไป ก็เห็นตัวเองในท่านั่งสมาธิ ดูๆ อายุประมาณ ๒๐ ใส่ชุดสมัยสาวๆ เป็นตัวเองใสๆ ฉันนั่งดู ตัวเองไปเรื่อยๆ นิ่งๆ อย่างมีความสุข ฉันไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลย และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า การนั่งสมาธิจะทำให้มีความสุขขนาดนี้ ทำให้ฉันมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา และทุกวันนี้ฉันก็ได้สวดมนต์ บูชาพระทุกวันและดู DMC ไม่เคยขาด รวมถึงได้ทำหน้าที่ภรรยาที่ดี เหมือนกับที่หลวงพ่อสอนว่า ให้ดูแลสามีประดุจเทวดา"

          และในปัจจุบัน..ผู้มีบุญทั้งสองท่านก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข พอถึงเวลาไปทำบุญที่วัด ก็จะทำร่วมกันอย่างเบิกบานใจ ถ้าช่วงไหนอยู่ เมืองไทยก็จะใส่บาตรทุกวัน พากันซื้อของใส่ท้ายรถจนเต็ม และนำไปใส่บาตรพระอย่างสนุกสนาน และนี่คืออีกหนึ่งต้นแบบของการใช้ชีวิต ที่ดำรงตนอยู่ในเส้นทางบุญ ด้วยการให้ทาน รักษาศีลและกลั่นเกลาจิตใจด้วยสมาธิภาวนา...

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล