ฉบับที่ 126 เมษายน ปี2556

บวช คือ ที่สุดแห่งชีวิตของลูกผู้ชาย ศูนย์กลางกาย คือ ที่สุดแห่งชีวิตของมวลมนุษยชาติ

ผลการปฏิบัติธรรม

เรื่อง : ธัมม์ วิชชา

 

 

บวช คือ ที่สุดแห่งชีวิตของลูกผู้ชาย

ศูนย์กลางกาย คือ ที่สุดแห่งชีวิตของมวลมนุษยชาติ

            ชีวิตที่จะเดินไปถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ เพื่อเสวยสันติสุขอันเป็นนิรันดร์ได้ จำเป็นต้องกำหนดเป้าหมาย และทิศทางการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องชัดเจน เพราะถ้าวางเป้าหมายผิดพลาด ใช้ชีวิตผิดทาง ก็ยาก ที่จะพาตัวเองให้หลุดจากทุกข์ทั้งปวงได้ และสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายพึงต้องทราบก็คือ การได้เกิดเป็นชาย คือ การได้โอกาสอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับตัวเองสู่ความประเสริฐอันยิ่ง คือ การได้บวชเป็นพระ และ ทิศทางของการดำเนินชีวิตที่ตรงและลัดสู่ที่สุดแห่งกองทุกข์ คือ การกำหนดทิศแห่งชีวิตและจิตใจมุ่งตรง ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อเราทำได้อย่างนี้ เราจึงจะพบกับความสุขที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ๆ ดังเช่นเรื่องราวของพระภิกษุธรรมทายาท ผู้ที่ชีวิตเดินได้ถูกทางแล้วเหล่านี้..

 

พระพงษ์สิทธิ์ ปสุดธมฺโม

อายุ ๒๒ ปี บวชในโครงการอุปสมบทหมู่ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
ภาคฤดูร้อน พ.ศ. ๒๕๕๕

           ถ้ามาบวชเร็วเท่าไร ได้มาศึกษาวิชาชีวิตเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเป็นกำไรชีวิต ถ้ามาบวชช้า รู้ช้า ก็ยังกำไรอยู่ แต่กำไรน้อย ดังนั้นอย่าให้เสียโอกาสเลย ให้รีบ ๆ มาบวชกันดีกว่า ยิ่งถ้าบวชแล้วได้ปฏิบัติธรรม ได้เห็นองค์พระ เราจะได้รู้ว่า ความสุขที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้นั้น มันเป็นอย่างไร

           ก่อนหน้านี้อาตมามีชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป คือมีหน้าที่เรียนหนังสือ และเที่ยวเล่นบ้าง ถึงแม้จะมีเพื่อนที่ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แล้วก็ชอบชวนให้เข้าก๊วนอยู่เรื่อย แต่อาตมาก็ไม่เคยดื่ม ไม่เคยสูบเพราะชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า คือไม่ติดเหล้า แต่ติดเกมนิดหน่อย ว่างเมื่อไรเป็นเล่นเกม พอเข้ามหาวิทยาลัย อาตมาก็สมัครเข้าชมรมพุทธฯ แล้วพี่ ๆ ในชมรมก็ชวนบวชในโครงการอุปสมบทหมู่ รุ่นอุดมศึกษา รุ่นที่ ๓๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ พอจบโครงการ ชีวิตของอาตมาก็เปลี่ยนไปเลย การบวชทำให้ได้รู้ว่า เราเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต อาตมาเลิกทำตัวไร้สาระ เดินหน้าทำแต่กิจกรรมดี ๆ ได้เป็นคณะกรรมการชมรมพุทธฯ ๑ ปี เป็นประธานชมรมพุทธฯ อีกปีกว่า ๆ และตั้งเป้าในใจไว้ว่า เรียนจบปี ๔ เมื่อไร จะบวชทันที แล้วอาตมาก็รักษาศีล ๘ มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเรียนจบ ได้บวช ก็เลื่อนขั้นเป็นศีล ๒๒๗ ข้อ


           เนื่องจากอาตมาเรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ จึงชอบเปรียบเทียบว่าอะไรคุ้มไม่คุ้ม อาตมาคิด ว่าช่วงอายุไม่เกิน ๓๐ ปี เป็นช่วงที่เราแข็งแรงมากที่สุด ถ้าเกินกว่านี้ก็ไม่รู้อะไรมันจะเสื่อมไปบ้าง แล้ว การตัดสินใจมาบวชตั้งแต่อายุยังน้อยก็คุ้มมาก เพราะจะมีเวลาได้ฝึกแก้ไขตัวเองในระยะยาว มีเวลา ได้นั่งสมาธิให้ใจใส ๆ และได้ทำแต่ความดี ซึ่งอาตมาได้รับบุญเป็นพระพี่เลี้ยงมาแล้ว ๔ โครงการ อาตมามีความสุขที่ได้ห่มผ้าเหลือง ใช้ชีวิตแบบสมณะ ยิ่งได้นั่งสมาธิก็ยิ่งตอกย้ำการบวชสร้างบารมี ให้เหนียวแน่นขึ้น โดยเวลานั่งสมาธิ อาตมาจะทำใจให้เบา ๆ เหมือนปุยนุ่น แตะใจไปที่ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗ ทำใจนิ่ง ๆ เฉย ๆ เหมือนเราเป็นห่นุ ยนต์ สักพักก็จะมีความสว่างเกิดขึ้น ทำ ให้รู้สึกโล่ง เบา สบาย พอมองความสว่างเฉย ๆ ก็เห็นองค์พระราง ๆ ขนาดเท่าหัวแม่โป้งอยู่กลางความสว่างนั้น แล้วองค์พระ ก็ค่อย ๆ ชัดขึ้น ใหญ่ขึ้นจนเท่ากับตัว บางครั้งท่านก็ใหญ่เลยออกไป ตอนนั้นจะรู้สึกเหมือนเราไม่มีร่างกาย มีแต่ศูนย์กลางกายเพียงอย่างเดียว แล้วใจก็เป็นสุขมาก ๆ องค์พระที่อาตมาเห็นบางครั้ง ก็ใสเหมือนเพชร บางครั้งก็ใสเหมือนน้ำเปล่า อยู่ท่ามกลางความสว่างแบบพระอาทิตย์ยามเช้า เวลาที่ ใจหยุดนิ่ง เห็นองค์พระ อาตมาจะมีความสุขมาก เกิดมาไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย อยากให้ทุกคนได้เห็นแบบนี้ ได้สัมผัสกับความสุขภายในแบบนี้ จึงอยากฝากไปถึงลูกผู้ชายทุกคนว่า ชีวิตพระเป็นชีวิตที่ดีที่สุดของลูกผู้ชาย เพราะทำให้เราหลุดออกจากความกังวลได้ง่าย ศีลของพระจะช่วยขัดเกลา กิเลสที่มีอยู่ในตัวเราให้ลดลงไปเรื่อย ๆ เราจะมีโอกาสได้สั่งสมบุญเพิ่มเติม จะมีใจที่เป็นสุข แล้วการบวชเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ได้จริง เป็นการพัฒนาตัวเองด้วย พัฒนาจิตใจด้วย ถ้ามาบวชเร็วเท่าไร ได้มาศึกษาวิชาชีวิตเร็วเท่าไร ก็ยิ่งเป็นกำไรชีวิต ถ้ามาบวชช้า รู้ช้า ก็ยังกำไรอยู่ แต่กำไรน้อย ดังนั้น อย่าให้เสียโอกาสเลย ให้รีบ ๆ มาบวชกันดีกว่า ยิ่งถ้าบวชแล้วได้ปฏิบัติธรรม ได้เห็นองค์พระ เราจะ ได้รู้ว่าความสุขที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้นั้น มันเป็นอย่างไร

 

พระมนตรี จิรธมฺโม

อายุ ๓๖ ปี บวชรุ่นบูชาธรรม ๑๐๓ ปี
คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง

           อาตมาบวชมา ๒ ครั้งแล้ว ครั้งแรกบวชในโครงการ ๑ แสนรูป รุ่นเข้าพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒ บวชในรุ่นบูชาธรรม ๑๐๓ ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ก่อนมาบวช อาตมาทำงานมาหลายด้าน ล่าสุดเป็น LP Audit คอยตรวจสอบเรื่องการทุจริตในองค์กร ตรวจเช็กเรื่อง ความเป็นระเบียบของพนักงาน อาตมาเกิดมาในครอบครัวใหญ่ มีโยมยาย โยมป้า ที่เคร่งครัดในเรื่อง ระเบียบและมารยาท เช่น เวลาเดินห้ามลากเท้า เวลาทานข้าวห้ามมีเสียงแจ๊บ ๆ และห้ามทำช้อนส้อม กระทบกัน อาตมาถูกปลูกฝังให้ไหว้พระทำบุญมาตั้งแต่ยังเด็ก เวลาไปวัดอาตมาชอบมองพระพุทธรูป และคิดว่ามีใครเคยเห็นพระพุทธเจ้าตัวจริงบ้างไหม? แล้วพระพุทธรูปที่เห็นนี่ถอดแบบมาจากตัวจริง ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า

           อาตมาโตมาจนอายุล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคน จู่ ๆ วันหนึ่งก็รู้สึกอยากบวชมาก ๆ ถึงขนาดไป บอกกับโยมแม่ว่า ถ้าปีนี้ไม่ได้บวช ผมยอมตาย ทำให้โยมแม่ โยมป้า และญาติ ๆ เกิดโกลาหล รีบ หาวัด หาปัจจัยเตรียมจัดงานบวชให้อย่างเร่งด่วน แต่อาตมาไม่อยากเป็นภาระใคร เพราะคิดว่าทำไม บวชแต่ละทีต้องเสียเงินเป็นแสน ๆ ด้วย ถ้าเรามีเงินแค่ห้าพันบาท เราจะบวชได้ไหม แล้วบุญก็บันดาล ให้ลูกน้องไปได้เบอร์โทรศัพท์โครงการอุปสมบทหมู่ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทยมา และที่ทำให้ อาตมาสนใจมากก็คือ คำว่า บวชฟรี พอรู้ว่าเขาตั้งโต๊ะรับสมัครบวชที่สะพานใหม่ อาตมาก็ตรงไปที่ สะพานใหม่ ไปลงชื่อจองไว้ทันที โยมป้าที่รับสมัครยังแซวว่า เพิ่งจะมีหนูนี่แหละ ที่กลัวจะไม่ได้บวช

           อาตมาตัดสินใจไปบวชที่วัดพระธรรมกายท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของทุกคน โยมน้า โยมป้า เครียดกันไปหมด เพราะอยากให้บวชวัดอื่น หาว่าอาตมาถูกใครเป่ากระหม่อม ถึงยอมไปบวชวัดนี้ แต่อาตมาอยากพิสูจน์อะไรหลายอย่าง จึงไม่หวั่นไหวต่อคำทัดทานของใครเลย

           พอเข้าอบรม ได้ฟังหลวงพ่อสอน ได้รู้เรื่องกฎแห่งกรรม และได้นั่งสมาธิ อาตมารู้สึกว่าทุกอย่าง มันใช่เลย ทุกคำสอนโดนใจ ถูกใจ สามารถปฏิบัติตามได้จริง และทำให้มีความสุขมาก ตอนนั้นบวช ได้พรรษากว่า ๆ ก็มีความจำเป็นต้องลาสิกขา แต่ก็คิดว่าจะต้องกลับไปบวชอีก เพราะยังศึกษาธรรมะไม่หมด พอปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ก็ได้จังหวะมาบวชในรุ่นบูชาธรรม ๑๐๓ ปี คุณยายอาจารย์ฯ โดยครั้งนี้ อาตมาตั้งใจจะศึกษาธรรมะให้ได้มากที่สุด และตั้งใจว่าต้องบวช ๒ ชั้น ให้ได้ อาตมาคิดว่าวินัยฝึกได้ แต่ใจฝึกยาก เรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การขัดเกลากิเลสในใจสำคัญที่สุด แล้วสิ่งที่จะขัดเกลาใจได้ ดีที่สุดก็คือ การนั่งสมาธิ

            บวชครั้งนี้อาตมานั่งสมาธิได้ดีขึ้น อาตมานั่งแบบสบาย ๆ หลับตาปรือ ๆ ทำหัวว่าง ๆ ไม่คิดอะไรเลย ปล่อยใจสบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ สักพักก็เห็นแสงเล็ก ๆ เท่ารูเข็ม แล้วก็มีองค์พระผุดขึ้นมาที่กลางท้อง ใสเหมือนน้ำที่ก่อตัวเป็นพระ สวยมาก ๆ พอปล่อยใจนิ่ง ๆ องค์พระก็ขยายใหญ่จนคลุมโลก ตอนนั้น เหมือนอยู่ในห้วงอวกาศเลย พอคิดเบา ๆ ให้ท่านย่อ ท่านก็ย่อ เล็กเข้ามาในตัว พอคิดให้ท่านใหญ่ ท่านก็ใหญ่ขึ้นมาจนทาบ ตัวอาตมาไว้ อาตมาสัมผัสได้ว่าท่านเป็นองค์พระจริง ๆ บางที องค์พระก็เข้ามาอยู่ในตัวเรา บางทีตัวเราก็เข้าไปอยู่ในองค์พระ ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ ตอนนั้นใจโล่งมาก อยากนั่งไปนาน ๆ เป็นเดือน ๆ ไม่อยากลุกไปไหนเลย และเหมือนกับว่ายังมีอะไร ให้เราได้ค้นหาไม่รู้หมด อาตมามีความสุขมาก เป็นความสุขที่ บอกไม่ถูก แล้วใจก็อยู่ในศูนย์กลางกายได้ตลอดเวลา

           สิ่งที่เป็นข้อสรุปจากประสบการณ์ ตรงของชีวิตพระธรรมทายาท ผู้เดินไปถูกทางแล้ว ได้พบแล้ว ซึ่งความสุขอันปราศจากเครื่องเหนี่ยวรั้งก็คือ ใครที่ได้เกิดมาเป็นผู้ชายควรต้องบวชเป็นพระ แล้วหมั่นปฏิบัติธรรม ทิ้งสิ่งที่ไม่เป็นสาระให้หมดสิ้น แล้วผินหน้าสู่เส้นทางแห่งพระนิพพาน ส่วนใครที่เกิดมาแล้ว แม้ไม่ได้เป็นผู้ชาย ก็ควรวางเป้าหมายการดำเนินชีวิตให้ถูกทิศทาง คือ การดำเนินชีวิตโดยนำจิตเกาะเกี่ยวไว้ในเส้นทางสายกลาง ทำใจให้หยุด นิ่ง ๆ ว่าง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ได้ตลอดเวลา หยุดได้มาก นิ่งได้นาน พระนิพพานก็ใกล้เข้ามาทุกวัน ๆ

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล