ฉบับที่ 60 ตุลาคม ปี 2550

ทำยังไงให้สมาชิกในครอบครัว ไม่เครียดในการทำหน้าที่ของตนเอง

 

 

 

          หลวงพ่อเจ้าคะ พ่อบ้านทำธุรกิจ ลูก ๆ ก็ยังอยู่ในวัยรุ่นแล้วก็ วัยเรียน คนเล็กก็กำลังจะสอบเอ็นทรานซ์ จะทำยังไงเจ้าคะที่จะให้ในบ้าน
เกิดความสงบแล้วก็ไม่เครียดเจ้าค่ะ

 

 

           ก่อนอื่นคุณโยมต้องไม่เครียดเองถ้าคุณโยมไม่เครียดเสียเอง บรรยากาศต่างๆมันจะดีขึ้น ก็เห็นใจนะคุณโยมว่าลูกก็คือความหวัง
ของเราทั้ง ๒ คน เพราะฉะนั้นบางทีก็อดจะเครียดไม่ได้ 

        แต่ยังไงก็ตามคุณโยมถือหลักอย่างนี้ คือ ก่อนอื่น ดูแลพ่อบ้านให้ดี ยังไงเสียเศรษฐกิจของบ้านขอให้ดำเนินไปได้ราบรื่น พ่อบ้านจะหาเก่งเท่าไรทำงานเก่งเท่าไรก็ตามถ้าช้างเท้าหลังคือแม่บ้านระวังหลังไม่ดีคือทั้งรายจ่าย ทั้งรายละเอียดปลีกย่อยในบ้าน ถ้าแม่บ้านทำดีเสียแล้ว พ่อบ้านกลับมา หน้าบานตั้งแต่ที่ทำงานมา พอมาถึงบ้าน หน้ายิ่งบานหนักเข้าไปอีก ถ้าอย่างนี้ชนะไปแล้ว ๑ พักเราไม่ต้องห่วงเศรษฐกิจ

          ทีนี้ สำหรับลูก เราเจาะลงไปดูที่ตรงใจลูกเราก่อนว่าจริงๆ แล้ว ในเรื่องของการร่ำการเรียนมันเป็นความสำคัญต่อเขา ในอนาคตเพราะว่านั่นคือ การศึกษา คือการปูพื้นฐานในเรื่องอาชีพให้เขา ในเรื่องของสังคมให้เขา

          แต่ว่าเมื่อเทียบกับส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งก็คือ ในเรื่องของศีลธรรมประจำใจของลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกเราไม่ได้เสียหายอะไรก็จริงอยู่ ข้อสำคัญก็คือการรักษาอารมณ์ของลูก ถ้าลูกรักษาอารมณ์เป็น ให้กำลังใจตัวเองเป็น คือแค่ ๒ สิ่งนี้นะถึงแม้ลูกเราจะมีปัญหาสอบได้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามที ถ้าเป็นหลวงพ่อนะ หลวงพ่อหมดห่วง ลูกเรารักษาอารมณ์ได้ แล้วก็ทำใจเป็นอย่างนี้ ความประพฤติดีอย่างนี้ เราพอใจแล้ว

         สำหรับลูกขอให้ความประพฤติของเขาดี แล้วการรักษาอารมณ์ของเขาเป็น การที่เขาจะได้ทั้ง ๒ อย่างอย่างนี้ ได้จากไหน คุณแม่ก็เป็นต้นแบบอีกแหละ เมื่อเขาเห็นว่าคุณแม่ไม่ได้กดดันเขา คุณพ่อก็ไม่ได้กดดันเขาถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนตัวของเขา เขาเองเขาก็ไม่เครียดจนเกินไป

          ส่วนการเรียน เราอย่าเอา pressure อย่าไปกดดันเขา จะได้ไม่ได้ แม่คอยให้กำลังใจ พอ เพราะได้ไม่ได้ ในชีวิตคน อย่างที่เราว่ากันกับคุณพ่อเมื่อกี้นี้ ขอให้มีความรับผิดชอบเท่านั้นความรู้ความสามารถอย่างอื่นเรื่องเล็กหมดเมื่อเป็นอย่างนี้คุณโยมเองนั่นแหละ รักษาอารมณ์ให้ดี นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วก็ดูแลพ่อบ้าน อะไรที่จะเป็นรูรั่วของพ่อบ้าน เพราะว่าพ่อบ้านเมื่อออกไปทำงานข้างนอกเหมือนทัพหน้า เหมือนนักมวยพอขึ้นเวทีต่อยไปต่อยไป บางทีมีผิดมีพลาด คุณโยมช่วยดู ระวังหลัง
พ่อบ้านตรงนี้ให้ดีไม่ใช่หมายความว่าพ่อบ้านคุณโยมไม่เก่งนะ เก่งแสนเก่ง เราช่วยดูตรงนั้นให้ดี รักษาอารมณ์เขาให้ดี แล้วก็มาดูแลการเงิน ดูแลเศรษฐกิจในบ้านให้ดี เราชนะไปแล้วครึ่งค่อนลูกประคับประคองกันไป

           สำหรับลูกขอให้ความประพฤติของเขาดี แล้วการรักษาอารมณ์ของเขาเป็น การที่เขาจะได้ทั้ง ๒ อย่างอย่างนี้ ได้จากไหนคุณแม่ก็เป็นต้นแบบอีกแหละ เมื่อเขาเห็นว่าคุณแม่ไม่ได้กดดันเขา คุณพ่อก็ไม่ได้กดดันเขาถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนตัวของเขา เขาเองเขาก็ไม่เครียดจนเกินไป

           แต่ถ้าแม่ก็จี้เช้าจี้เย็น ถ้าเข้าไม่ได้ เอ็นทรานซ์ไม่ได้ สอบไม่ผ่าน แม่ไม่ยอมนะ ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งคราวนี้ไม่รอด เครียดเสียแล้ว
เมื่อปล่อยเขาตามเส้นทางของเขาที่ควรจะเป็น ไม่กดดันเขา เขาจะมีเวลาที่จะสำรวจตรวจสอบตัวเอง วันนี้ก็ต้องฝึกให้เขาไปใช้ ความสามารถของเขา เชื่อใจเขาว่าเขาทำได้ นอกจากทำได้แล้วก็ทำดีด้วย เพราะเรา ๒ คน สามีภรรยาก็ประพฤติตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้เขาดูมาตลอดชีวิตเราเองเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น พ่อบ้านเราก็เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น พูดง่ายๆ เรา ๒ คนตายายเป็นคนมีความรับผิดชอบต่อคำพูดตลอดมา แล้วลูกเรา เท่าที่อาตมาเห็น ลูกของคุณโยม ก็ประเภทเดียวกับคุณโยม ๒ คนนั่นแหละเขาไม่ใช่คนไม่รักษาคำพูด เมื่อเขามีความสามารถในการรักษาคำพูดของเขา เขาพูดยังไงเขาก็ทำอย่างนั้น ทำยังไงเขาก็พูดอย่างนั้น อาตมาว่าจากตรงนี้นี่ แสดงว่าเขามีความรับผิดชอบของเขา พอที่จะให้เราไว้วางใจว่าทำงานของเขาได้ เขาสอบของเขาได้

           สมมุติว่าเมื่อลูกของเราเกิดผิดพลาด เกิดสอบไม่ได้ขึ้นมา ในมุมมองของหลวงพ่อ หลวงพ่อกลับไม่เดือดร้อนเพราะว่ามันก็ดีไปอย่าง ลูกเราบางอย่างก็อาจจะมีข้อบกพร่อง แล้วเขาไม่ยอมรับความบกพร่องอันนั้นของเขาวันนี้ถ้าเขาเกิดสอบไม่ได้ เออ ลูก แม่ก็เคยเตือนเรื่องนั้นเรื่องนั้น แล้วลูกคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก วันนี้ลูกรู้ด้วยตัวเองแล้วนะ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ความที่เจอความผิดหวังอย่างนี้มากเข้า ซึ่งความผิดหวังระดับนี้มันไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตายแต่มันกลับช่วยให้ลูกเราได้คิดขึ้นมาบ้าง หลวงพ่อก็ว่าไม่เสียหลาย มันก็คุ้ม ถ้าจะเป็นการฝึกให้ลูกเรารู้จักเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ยขึ้นมาบ้าง แล้ววันหลังที่เชื่อดี เชื่อความสามารถอย่างนั้นอย่างนี้ เคยทำเรื่องนั้นเรื่องนี้สำเร็จ บางทีกลายเป็นผยองไปวันนี้ก็เลิกผยองได้แล้ว เพราะว่าผลมันฟ้องแล้ว

 

         ถ้าลูกครั้งนี้จะสอบตก แล้วได้ข้อคิดอีกตั้งพะเรอ อาตมาว่าก็คุ้ม อย่าไปซีเรียสกับแก อย่าไปอะไรกับแกหนักหนา ให้เขารู้จักให้กำลังใจตัวเอง ให้เขารู้จักค้นหาข้อบกพร่องตัวเอง แล้วแม่คอยเป็นพี่เลี้ยงให้สักหน่อย ถ้ารู้สึกว่าแกชักจะรับอาการนี้ไม่ไดแม่ก็เข้าไป 

         สิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้นมา ถ้าเราไม่ไปเคร่งเครียดกับมันนัก มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หลวงพ่อจำได้เมื่อ
ตอนหลวงพ่อไปเรียนต่างประเทศ เมื่อสมัยยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ไปค้างที่บ้านอาจารย์ ลูกอาจารย์กำลังจะเข้าอนุบาล มาขออนุญาตแม่ ขอเล่นมีด แม่ไม่ให้ ทีแรกบอกไม่เอา เดี๋ยวบาด ลูกก็จะเล่น แม่ว่าไง ก็ได้ แต่สัญญากับแม่ก่อนนะ ว่าถ้ามีดบาดแล้ว
๑. ห้ามร้องไห้
๒. ให้ทำแผลเอง

        ลูกรับปาก แล้วแกก็ไปหยิบมา ไปหยิบเอาทิงเจอร์ หยิบผ้ากอซมา ไปหยิบพลาสเตอร์ หยิบกรรไกรมา บอกลูกทำเองนะ รู้ไหม ถ้าแผลโดนทิงเจอร์เป็นไง แสบ ระวังนะ แสบนะ จำนะ ลูกก็รับปาก I grow enough แกว่าแกโตแล้ว แกเล่นได้แกดูแลตัวเองได้
แม่บอกไปหยิบมีดเล่มนั้นมา มีดที่ทื่อที่สุดในครัว แกเอามาเล่น

        พอลับตาไป อาตมาก็ถาม ยูคิดว่ามีดไม่บาดลูกหรือ เขาตอบชัดเลย ยังไงก็บาด อ้าว แล้วทำไมให้ลูกเล่น มันไม่คมนักหรอก บาดก็ไม่ลึก ถือโอกาสจะฝึกลูกถือโอกาสฝึกลูกให้ทำแผลเป็น เพราะจะต้องเข้าโรงเรียนแล้ว เราไม่ใช่พ่อใช่แม่ เอ๊ะ ทำไมแม่เขาใจร้ายกับลูกอย่างนี้ แต่ว่า ไม่ถึง ๕ นาที ลูกชายวิ่งมาแล้ว แม่ มีดบาดหน้าเบ้มาเลย แม่ทวงสัญญาเลย
ลูก สัญญากับแม่ไม่ใช่หรือว่า จะไม่ร้องไห้ เจ้าลูกชายว่าไง ไอ ก็ยังไม่ได้ร้องนี่ (หัวเราะ) ยู สัญญานี่จะทำแผลเอง
ไปทำเสีย เด็กรู้ทิงเจอร์แสบ แกจะไม่ยอมทำ แม่บอกว่าถ้าไม่ทำ แม่จะจับจุ่มลงไปในขวด แกก็เลยต้องทำ แล้วแกขู่ด้วย ทำให้ดีนะ ต้องทำแผลอย่างนี้นะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวแบคทีเรียเข้าละก็ มันเน่าละก็ต้องตัดนิ้ว นิ้วด้วนนะ เอ้า แม่ขู่เลยทีนี้

        แกก็ค่อยพันแผลของแก ก็ประสาเด็ก พันไม่ได้ดี แม่เขาก็เลยพันให้ดูใหม่เรียบร้อย แล้วก็ถามลูกว่า ยูคิดว่า ยู ทำได้ไหมนี่
ได้ พอได้ปั๊บ แกตัดที่แกพันแผลไว้ทิ้งเลย แล้วให้ลูกพันใหม่ ลูกพันอยู่สักพักหนึ่ง แกพันได้ อยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว

       บางครั้งเขาก็ยังยอมให้ลูกเจ็บ เพราะมันไม่ได้เจ็บอะไรหนักหนา กับมีดทื่อๆ บาดเห็นเลือดหยด ๒ หยด 

       ถ้าลูกครั้งนี้จะสอบตก แล้วได้ข้อคิดอีกตั้งพะเรอ อาตมาว่าก็คุ้ม อย่าไปซีเรียสกับแก อย่าไปอะไรกับแกหนักหนา ให้เขารู้จักให้ กำลังใจตัวเอง ให้เขารู้จักค้นหาข้อบกพร่องตัวเอง แล้วแม่คอยเป็นพี่เลี้ยงให้สักหน่อย ถ้ารู้สึกว่าแกชักจะรับอาการ
นี้ไม่ได้ แม่ก็เข้าไป

       เพราะที่แน่ๆ นับแต่วันนี้ไป คุณแม่ เวลาจะนั่งสมาธิก่อนนอน อย่างที่ทำประจำ เรียกคุณลูกไปนั่งด้วย เพราะตอนนี้แกชักจะ
รู้ว่าแกชักจะเครียด วิธีฝึกให้คลายเครียดมานี่ ลูกเอ๊ย มานั่งกับแม่เถอะ แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรให้แกวุ่นวายใจคุณโยมทำไปสบายๆ
อย่างนี้ เดี๋ยวครอบครัวก็คืนสู่ปกติ เพราะว่าตอนนี้ความจริงมันก็ปกตินะ แต่คิดมากอยู่นะ ทำใจสบายๆ ทั้งครอบครัว

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล