ฉบับที่ ๑๕๖ เดือนตุลาคม ๒๕๕๘

ศึกษาหลักฐานพุทธศิลป์...ย้อนแดนดิน ถิ่นอารยธรรม

บทความน่าอ่าน     
เรื่อง : Tipitaka (DTP)

 

 

    ณ ริมฝั่งแม่น้ำภีมะ ห่างจากหมู่บ้าน Sannati ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๓ กิโลเมตร  ในเขตรัฐกรณาฏกะ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย องค์การสำรวจโบราณคดีอินเดีย หรือ ASI (Archaeological Survey of India) ได้ขุดค้นพบแหล่งโบราณคดี    กนคนหลฺลิ (Kanaganahalli) ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาสมัยราชวงศ์      ศาตวาหนะ  Dr. Christian Luczanits นักประวัติศาสตร์ศิลป์ ระบุว่ามีอายุในช่วงราว ๑๐๐ ปี ก่อนคริสต์ศักราชถึงคริสต์ศักราชที่ ๓๐๐ ถือเป็นหลักฐานโบราณสถานที่สำคัญอย่างยิ่งแห่งหนึ่งของพระพุทธศาสนายุคต้นในประเทศอินเดีย การขุดค้นพบคลังจารึกที่พระมหาสถูปเผยให้เห็นประติมากรรมอันงดงาม แสดงถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนายุคต้นในประเทศอินเดีย เป็นหลักฐานใหม่ที่กระตุ้นนักวิชาการสาขาวิชาบาลีและ    พุทธศาสนศึกษาให้กลับมาทบทวนทฤษฎีต่าง ๆ ที่เคยเชื่อถือกันมานาน

 


    และเมื่อวันที่  ๑๗ กรกฎาคม ที่ผ่านมา โครงการพระไตรปิฎกฉบับวิชาการได้มีโอกาสต้อนรับ Prof. Oskar von Hinüber ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีและปรากฤต ที่ให้เกียรติ       เดินทางมาบรรยายในหัวข้อเรื่อง “Buddhist Text and Images New Evidence from    Kanaganahalli” (คัมภีร์พระพุทธศาสนาและพระพุทธรูป : หลักฐานใหม่จากกนคนหลฺลิ) ณ ห้อง SPD18 สภาธรรมกายสากล

 

 

    Prof. Oskar von Hinüber กล่าวถึงภาพรวมการค้นคว้าอ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า เราจะเข้าใจเรื่องราวของหลักฐานใหม่ที่ค้นพบได้นั้น ต้องโยงกลับไปที่ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดียยุคโบราณก่อน เราจะเห็นได้ว่าอินเดียซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลาง   ความรุ่งเรืองมาหลายร้อยปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปอิทธิพลทั้งจากภายนอกและภายในทำให้พระพุทธศาสนาสูญหายไปจาก    แดนกำเนิด แต่สิ่งที่ยังหลงเหลือ คือ ศาสนสถานและศาสนวัตถุที่บอกเล่าเรื่องความรุ่งเรืองแห่งพระธรรมคำสอนในอดีตได้   เป็นอย่างดี ทั้งนี้หลักฐานบางชิ้นก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะสามารถนำมาศึกษาได้ บางชิ้นอยู่ในสภาพชำรุดเพียงบางส่วนที่ผู้เชี่ยวชาญพยายามนำมาปะติดปะต่อถอดความ ในกรณี

 

 

 เช่นนี้มีหลายครั้งที่การถอดความในครั้งแรกอาจมีเนื้อความ     ที่ดูเหมือนถูกต้อง แต่ต่อมาเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยนำหลักฐานจากแหล่งอื่นมาเทียบเคียงจึงได้เนื้อความที่ถูกต้องสมบูรณ์ในภายหลัง จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่เคยมีการศึกษามาแล้วควรนำมาศึกษาซ้ำอีกเพื่อความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น แต่หลักฐานบางแหล่งก็ถูกเก็บรักษาอย่างดีจึงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และสามารถบอกเล่าเรื่องราวในตัวเองได้อย่างกระจ่างชัด อาทิเช่น ภาพสลักหินจากสถูปภารหุตซึ่งอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือของอินเดีย

 

 

    ภาพบน คือจารึก Kesanapalli  มีอักษร ๒-๓ ตัวที่คลุมเครือ  ทำให้การตีความในครั้งแรกยังคลาดเคลื่อน ต่อมาเมื่อนักวิชาการมาศึกษาเพิ่มเติมในภายหลังจึงได้ข้อความที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในขณะที่ ภาพล่าง เป็นภาพสลักหินจากสถูปภารหุต แสดงเรื่องราวท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างพระเชตวันมหาวิหารถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้านล่างปรากฏอักษรพราหมีจารึกอย่างชัดเจนว่า “เชตวน อานาธปิฑโก เทติ โกฎีสํถเตน เกตา” ภาพนี้มีเนื้อหาครบถ้วนและอยู่ในสภาพที่ชัดเจนสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นเรื่องราวใน   พระพุทธศาสนาที่รู้จักกันอย่างดี การตีความจึงทำได้ง่าย

 

    สำหรับมหาสถูปอายุเก่าแก่กว่า ๒,๐๐๐ ปี ที่ค้นพบแถบหมู่บ้านกนคนหลฺลินั้น ปรากฏ     เรื่องราวพุทธประวัติชาดกและพระพุทธรูปมากมาย แม้สภาพบางส่วนจะเป็นซากปรักหักพัง แต่การค้นพบจารึกอักษรพราหมีและส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมและศิลปะ ณ แหล่งโบราณคดีนี้  ก็มีนัยสำคัญที่เปิดโลกทัศน์การค้นคว้าวิจัยภาษาศาสตร์ โบราณคดี และสะท้อนรูปแบบการเมือง เศรษฐกิจ กรอบวัฒนธรรม รวมทั้งความคิดของผู้คนในยุคพระพุทธศาสนาตอนต้นที่แสดงออกเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ณ ที่แห่งนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ มีประเด็นใหม่ ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญและ     นักวิชาการเองก็ยังหาข้อสรุปชี้ชัดไม่ได้ เพียงลงความเห็นและความเป็นไปได้อ้างอิงตามหลักวิชาการไว้เพื่อการศึกษาต่อในอนาคต อาทิเช่นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระมหาสถูปจารึกคำว่า ปุผคหนิ  (Puphagahanฺi)     กลายเป็นคำนิยามใหม่ทางโบราณคดี ซึ่ง       ยังไม่สามารถระบุชี้ชัดว่า “ปุผคหนิ” นั้น          หมายถึงอะไร มีความสำคัญอย่างไรในด้านสถาปัตยกรรม แม้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ  จะนำไปเทียบเคียงกับคำว่า “ปุปฺผาธาน” ในคัมภีร์มหาวังสะ ก็ยังตีความออกได้เป็นสองนัย คือ หมายถึงดอกไม้ที่ใช้ประดับตกแต่ง หรือภาชนะสำหรับใส่ดอกไม้บูชา ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัด

 

บนปุผคหนิปรากฏจารึกอ่านได้ว่า 
“มนิกา รส มหามริตโน 
สภาริยส สปุตกส สทุหุตกส 
สชามาตุกส ทาน เจติยปุผคหนิ”


    เมื่อสันนิษฐานจากขนาดของพระสถูปแล้วคาดว่าน่าจะมีประมาณ ๑๐๐ ปุผคหนิ แต่ยัง   ไม่สามารถสรุปจำนวนที่แน่นอนได้ แม้จะพบจารึกบนปุผคหนิที่มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่      ทสหิ, วิสยิ และปนาส ซึ่งแปลว่า ๑๐, ๒๐ และ ๕๐ ตามลำดับ แต่ไม่มีข้อมูลอธิบายความหมายของตัวเลขเหล่านี้อย่างชัดเจน จึงตีความได้แตกต่างกันออกไป บ้างสันนิษฐานว่าอาจหมายถึงจำนวนเงินที่ผู้บริจาคถวาย บ้างสันนิษฐานว่าอาจเป็นเลขลำดับบอกตำแหน่งของปุผคหนิ ทุก ๆ ช่วง ๑๐ ปุผคหนิก็เป็นได้

 

 

    จุดที่น่าสนใจคือข้อความจารึกที่พบ ณ มหาสถูปแห่งนี้ระบุรายละเอียดผู้บริจาคและ    จุดประสงค์ของการถวายสิ่งก่อสร้างอยู่ด้วย ทำให้ทราบว่านอกจากผู้บริจาคเป็นชาวเมืองในเขตศาตวาหนะแล้ว ยังปรากฏรายนามผู้มีจิตศรัทธาจากเมืองอมราวดีด้วย จึงน่าคิดวิเคราะห์ว่า    เหตุใดจึงมีผู้เลื่อมใสจากเมืองอมราวดีมาร่วมสร้างมหาสถูปแห่งกนคนหลฺลิด้วย ทั้งที่เมืองอมราวดีมีสถูปใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งอาจสันนิษฐาน  ได้ว่า มหาสถูปที่สร้างในเวลานั้นต้องมีความสำคัญไม่น้อย พุทธศาสนิกชนไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใดจึงต่างเดินทางมายังหมู่บ้านกนคนหลฺลิเพื่อร่วมก่อสร้าง ด้วยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง     ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีส่วนในการสถาปนา     มหาสถูปที่มีความสำคัญเช่นนี้

 

 

    การบรรยายของ Prof. Oskar von Hinüber ตลอด ๒ ชั่วโมง ครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นประโยชน์ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ โบราณคดี และด้านอื่น ๆ แต่นอกเหนือจากความรู้ทางวิชาการแล้ว ทำให้เกิดความตระหนักว่า มหาสถูปที่ครั้งหนึ่งเคยตระหง่านตระการตา คลาคล่ำไปด้วยพุทธศาสนิกชน มาบัดนี้หลงเหลือเพียงซากแห่งความทรงจำในอดีตที่เคยรุ่งเรือง รอเวลาให้คนรุ่นหลังย้อนกลับไปศึกษาเพื่อกระตุ้นเตือนให้หันมามองดูว่า สิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่ในวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลายเป็นภาพสะท้อนอดีตให้คนรุ่นหลังมาศึกษาต่อไปด้วยความชื่นชม 

 


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Dr. Christian Luczanits ที่เอื้อเฟื้อให้ใช้เพื่อการศึกษา
http://www.luczanits.net/gallery3/index.php/docu/Kanganhalli

 

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล