ฉบับที่ ๑๗๔ เดือนมิถุนายน ๒๕๖๐

เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จ

อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์

เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จ

เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จ,เนื้อนาใน,อยู่ในบุญ


     “รถที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ข้อนี้ฉันใด การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ ก็ฉันนั้น การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลยบุญทั้งหลายที่หม่อมฉันทำเอง จึงจะเป็นทรัพย์ที่ติดตามหม่อมฉันไปได้ หม่อมฉันลงไปในมนุษยโลกแล้ว จะบำเพ็ญบุญกุศลให้มาก”
(สาธินราชชาดก)

    การศึกษาวิชาความรู้ในทางธรรมเป็นกรณียกิจที่ควรทำควบคู่ไปกับภารกิจในชีวิตประจำวัน เพราะคำสอนของพระพุทธองค์เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต เป็นความรู้ที่ทำให้พ้นทุกข์ เนื่องจากเป็นปัญญา
ที่เกิดจากใจที่หยุดนิ่ง ไม่ใช่เกิดจากการคิดค้นด้นเดาโดยใช้ตรรกะหรือประสบการณ์ แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งปวง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาอย่างยิ่งเพราะยิ่งศึกษาก็ยิ่งรู้แจ้ง ยิ่งรู้แจ้งก็ยิ่งอยากทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ จะได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ซึ่งการศึกษาธรรมะให้ซาบซึ้งและเห็นถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริงนั้นต้องอาศัยใจที่หยุดนิ่งที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา จึงจะได้ทั้งความรู้ ความสุข และความบริสุทธิ์ควบคู่กันไป

    มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในสาธินราชชาดก ความว่า “รถที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ข้อนี้ฉันใด การได้เสวยความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ ก็ฉันนั้น การได้เสวยความสุขซึ่งเป็นความสุขที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย บุญทั้งหลายที่หม่อมฉันทำเอง จึงจะเป็นทรัพย์ที่ติดตามหม่อมฉันไปได้ หม่อมฉันลงไปในมนุษยโลกแล้ว จะบำเพ็ญบุญกุศลให้มาก”

    เรื่องของบุญนั้นไม่ใช่จะแบ่งปันให้กันได้ง่าย ๆ เหมือนปอกผลไม้แบ่งออกเป็นส่วน ๆแล้วแจกจ่ายแบ่งปันกัน เพราะบุญนั้นใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ เหมือนการกินอาหารคนไหนกิน คนนั้นก็อิ่ม ใครไม่ได้กินแล้วจะให้อิ่มท้องนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าอยากจะแบ่งบุญให้กัน ก็ต้องทำให้ถูกหลักวิชชา ที่เรียกว่าอุทิศส่วนกุศล แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เหมือนกับเราทำเองอยู่ดี เพราะบุญที่เขาอุทิศให้ เหมือนกับการขอยืมทรัพย์เขามาใช้หรือแม้เขาจะแบ่งปันให้ ก็ได้เพียงเล็กน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการ และบางทีก็ไม่ถูกใจเราอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี ต้องทำบุญด้วยตัวของเราเอง ไม่ต้องไปอาศัยบุญใครยิ่งถ้าได้สั่งสมบุญไว้มาก ๆ ก็จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่ผู้อื่นด้วย เราเป็นนักสร้างบารมีก็ต้องดูแบบอย่างของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายที่ท่านมุ่งมั่นสั่งสมบุญในทุกรูปแบบ ไม่นำ     ใจไปผูกไว้กับเงื่อนไขของเวลา อารมณ์ และสถานที่ เมื่อท่านมีบุญมากแล้ว ก็เป็นที่พึ่งให้ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ดังเรื่องที่นำมาให้ศึกษากันต่อไปนี้

    ในครั้งอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพระราชาพระนามว่า “สาธินะ” ในมิถิลานคร ทรงเป็นผู้ยินดีในการบริจาคทานและประทานโอวาทแก่ชาวแว่นแคว้นว่าให้หมั่นสั่งสมบุญกุศลด้วยการให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ มหาชนดำรงอยู่ในโอวาทของพระองค์ ต่างก็พากันบำเพ็ญทานและรักษาศีลเป็นประจำ เมื่อหมดอายุขัยจึงไปบังเกิดเป็นเทพบุตรและเทพธิดาในสุคติโลกสวรรค์เป็นจำนวนมาก

 

     เมื่อเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นมาประชุมกัน ณ สุธรรมาเทวสภา ต่างก็พรรณนาถึงคุณของพระเจ้าสาธินะ ทำให้เหล่าทวยเทพมีจิตยินดีและปรารถนาอยากจะเห็นพระเจ้าสาธินะบ้าง ท้าวสักกเทวราชจึงรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนำเวชยันต์ราชรถไปยังมนุษยโลก เพื่อทูลเชิญพระเจ้าสาธินะเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มหาชนเห็นมาตลีเทพบุตรขับราชรถมีรัศมีรุ่งเรืองดังดวงจันทร์ จึงต่างพากันเข้าใจว่าวันเพ็ญคืนนี้ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริงหนอพระจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าถึง ๒ ดวง แต่ เมื่อราชรถเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปรากฏแก่สายตาของมหาชนอย่างชัดเจน จึงได้พากันชื่นชม ว่าเป็นราชรถของเทวดาผู้มาจากสวรรค์

    มาตลีเทพบุตรกระทำประทักษิณรอบพระนคร แล้วนำราชรถมาจอดตรงช่องพระแกล ในวันนั้น พระราชาเสด็จออกตรวจโรงทานพร้อมกับหมู่อำมาตย์และข้าราชบริพาร ประทับนั่งอยู่กลางท้องพระโรง ทรงสมาทาน
อุโบสถศีล แล้วตรัสให้โอวาทที่ประกอบด้วยธรรม เมื่อมาตลีเทพบุตรมาถึง ก็ทูลว่า ตนเองเป็นทูตของชาวสวรรค์เดินทางมารับพระองค์ เพื่อเสด็จไปเยี่ยมเยียนชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ณ สุธรรมาเทวสภา พระราชาทรงรับคำเชื้อเชิญเสด็จขึ้นประทับบนราชรถ เวชยันต์ราชรถก็เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้านำพระราชาไปสู่เทวโลกทันที เมื่อเหล่าทวยเทพได้เห็นพระราชา ต่างก็พากันชื่นชมยินดียิ่งนัก

 

     ท้าวสักกเทวราชทรงเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เสมอ กันกับพระองค์ ทรงแบ่งเทพนครและนางเทพอัปสร พร้อมทั้งเวชยันต์ปราสาท ประทานให้พระเจ้าสาธินะครึ่งหนึ่ง เมื่อกาลเวลาล่วงไป ๗๐๐ ปีมนุษย์ พระเจ้าสาธินะยังคงประทับอยู่ในเทวโลก ขณะนั้นพระองค์ทรงเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย จึงทูลถามท้าวสักกะว่า ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงยินดี คือไม่มีความสุขในเทวโลกเหมือนแต่ก่อน

    ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า “ขอพระองค์อย่าได้กังวลพระทัยไปเลย พระชนมายุของพระองค์ยังไม่หมดสิ้นไปในตอนนี้ แต่ที่ทรงเบื่อหน่ายก็เพราะว่า พระองค์ทรงทำบุญเอาไว้น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าหม่อมฉันจะ
แบ่งบุญใหพระองคเอง ขอพระองค์ประทับอยู่ ในเทวโลกต่อไปด้วยอานุภาพของหม่อมฉันเถิด” แต่พระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธ แล้วทรงดำริว่า “ยานพาหนะที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ ยังไม่ใช่เป็นของของเราโดยแท้จริง” จึงตรัสตอบท้าวสักกะว่า “หม่อมฉันมิได้ปรารถนาสุขที่เกิดจากบุญของใคร แต่หม่อมฉันอยากทำบุญด้วยตนเอง จะได้เป็นอริยทรัพย์ติดตามตัวไป” พระองค์จึงยังทรงปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกมนุษย์ เพื่อบำเพ็ญบุญกุศลให้มากยิ่งขึ้น

    ท้าวสักกะรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนำพระราชากลับไปสู่มิถิลานคร โดยส่งเสด็จในพระราชอุทยาน พระราชาทรงเดินจงกรมอยู่ในพระราชอุทยานนั้น เมื่อนายอุทยานเห็นก็นำความขึ้นกราบทูลพระเจ้านารทะ ซึ่งเป็นพระราชาองค์ปัจจุบัน เมื่อพระเจ้านารทะทราบข่าวดีเช่นนั้น ก็รีบทูลเชิญเสด็จมาเข้าเฝ้า แล้วไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ

    พระเจ้าสาธินะทรงจูงพระหัตถ์พระเจ้านารทะเสด็จดำเนินไป ตรวจดูสถานที่ต่างๆและสนทนากันถึงเรื่องในอดีต พระเจ้านารทะตรัสว่า “พระองค์เสด็จไปยังเทวโลก ๗๐๐ ปีบัดนี้พระประยูรญาติต่างสิ้นพระชนม์กันหมดแล้ว ส่วนหม่อมฉันนั้นเป็นหลานของพระองค์สืบสันตติวงศ์เป็นองค์ที่ ๗ ฉะนั้น ขอให้พระองค์เสด็จเสวยพระราชสมบัติตามเดิมเถิด”

    ฝ่ายพระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธว่า “การที่เรากลับมาในครั้งนี้ มิได้ต้องการราชสมบัติ เลย แต่ต้องการบำเพ็ญบุญกุศล เพื่อเป็นดุจใบเบิกทางไปสู่สวรรค์ เราจะฉลอง ๗๐๐ ปี ด้วยการบำเพ็ญมหาทาน ๗ วัน ทิพยวิมานทั้งหลายเราได้เห็นมาแล้ว ทิพยสมบัติเราก็ได้ครอบครองแล้ว แต่เราสละทิพยสมบัติ อันประณีตเหล่านั้นกลับมายังโลกมนุษย์ ก็เพราะต้องการสั่งสมบุญเพียงอย่างเดียว” จากนั้น พระเจ้าสาธินะก็ทรงบริจาคทานอย่างมโหฬารตลอด ๗ วัน และในวันที่ ๗ นั้นเอง พระองค์ ก็เสด็จสวรรคตและได้ไปเสวยสุขในเทวโลกสมดังใจปรารถนาทุกประการ

     เราจะเห็นว่า บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย เราจะเข้าถึงความเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือเป็นจอมเทพในสรวงสวรรค์ และได้เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ก็ต้องอาศัยบุญ
เป็นหลัก เพราะบุญมีอานุภาพดึงดดู แตสิ่งดีๆเข้ามา ทำให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดีงาม และบุญจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการสั่งสม ทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา บุญเป็นสิ่งที่สั่งสมได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมนำแต่ความสุขและความสำเร็จมาให้ อีกทั้งยังสามารถอุทิศให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว และสามารถแปรเปลี่ยนสภาพชีวิตให้ดีขึ้น จากที่มีทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ ที่มีความสุขอยู่แล้วก็จะสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป

   การทำบุญก็เหมือนกับการทำประกัน ชีวิตข้ามภพข้ามชาติ เพราะบุญเป็นเครื่องรับ ประกันชีวิตของเราไม่ให้ตกไปสู่อบาย และทำให้ชีวิตของเราก้าวขึ้นไปสู่ภพภูมิที่ดี ดังนั้นให้ทุกท่านหมั่นสั่งสมบุญ เพราะบุญในวันนี้จะเป็นเหตุให้ประสบความสุข ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ และสุขอย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล