ฉบับที่ ๑๗๖ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๐

ผลบุญเป็นอจินไตย

อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
                            

 

ผลบุญเป็นอจินไตย

                     “สจฺจํ ภเณ น กุชฺเฌยฺย ทชฺชา อปฺปสฺมิ ยาจิโต
                            เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ คจฺเฉ เทวาน สนฺติเก
              บุคคลพูดคำจริง ไม่มักโกรธ แม้เขาขอเพียงนิดหน่อย ก็ควรให้
                      ด้วยเหตุเพียง ๓ อย่างนี้ บุคคลก็ไปเทวโลกได้”

                                                                  (ขุททกนิกาย ธรรมบท)

 

   ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่บนโลกใบนี้มีไว้เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบารมี และหล่อเลี้ยงสังขารร่างกายให้ดำรงอยู่ได้ เพราะเมื่อเราสั่งสมบุญบารมีแล้ว ก็จะเป็นอริยทรัพย์ติดตัวเราไปในภพเบื้องหน้า บุญจะส่งผลให้เราได้รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ตลอดถึงสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ท่านทรงสรรเสริญการสั่งสมบุญอยู่เป็นนิจ เพราะอริยทรัพย์สามารถติดตามตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติ ตราบใดที่เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ผลบุญจะคอยเกื้อหนุนให้เราได้ประสบความสำเร็จ มีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
  มีวาระพระบาลีที่ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า “สจฺจํ ภเณ น กุชฺเฌยฺย ทชฺชา อปฺปสฺมิ ยาจิโต เอเตหิ ตีหิ ฐาเนหิ คจฺเฉ เทวาน สนฺติเกบุคคลพูดคำจริง ไม่มักโกรธ แม้เขาขอเพียงนิดหน่อย ก็ควรให้ ด้วยเหตุเพียง ๓ อย่างนี้ บุคคลก็ไปเทวโลกได้”
    เส้นทางสู่สวรรค์ไม่ได้ยากเกินไป อย่างที่บางท่านคิด ขอเพียงมีความตั้งใจ ที่จะทำความดี แม้ทำอย่างเดียวแต่ทำให้เต็มที่ เช่น เราบอกว่าจะพูดคำจริง มีวาจาสัตย์ ก็ต้องทำให้ได้ จะได้เกิดเป็นสัจจบารมี หรือบอกตัวเองว่าจะไม่เป็นคนมักโกรธตลอดชีวิต ก็ต้องทำให้ได้ แม้ทำได้อย่างเดียว แต่บารมีธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นผลจากการไม่โกรธ จะตามมาอีกมากมาย ตั้งแต่ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมีและอุเบกขาบารมี ทุกบารมีล้วนประมวลรวมกันที่ความไม่โกรธทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อตั้งใจจะทำความดีอะไรสักอย่าง อย่าคิดว่า เป็นบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทำไปเถิด และทำให้ทำได้สำเร็จสวรรค์ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
  ในสมัยพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานเถระได้เหาะขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเที่ยวชมไปตามวิมานต่างๆ เมื่อพบเทพบุตรเทพธิดาท่านใดพิเศษกว่าเทพองค์อื่นๆ พระเถระก็จะเข้าไปถามถึงผลบุญที่เคยทำมาในภพชาติอดีตของเทพองค์นั้น เพื่อนำไปบอกเล่าแก่ญาติโยมและผู้มีบุญทั้งหลาย จะได้มีกำลังใจในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป ขณะกำลังเที่ยวชมวิมานอยู่นั้น พระเถระได้เห็นเทพธิดาองค์หนึ่ง มีรัศมีกาย สว่างไสว มีรูปร่างสวยงามเป็นพิเศษในวิมานแห่งหนึ่ง ท่านจึงเข้าไปถามว่า “เทพธิดา ในครั้งที่เธอยังเป็นมนุษย์ เธอได้สั่งสมบุญอะไรไว้ จึงมาบังเกิดบนสวรรค์ มีวิมานใหญ่โตอย่างนี้ เธอช่วยแก้ข้อข้องใจให้แก่อาตมาด้วยเถิด”
     เทพธิดารู้ตัวเองดีว่า ที่เราได้สมบัติมากมายอย่างนี้ ก็เพียงรักษาคำพูดอย่างเดียว คือเป็นคนพูดคำจริง จึงรู้สึกอายที่จะบอก ครั้นถูกพระเถระถามเป็นครั้งที่สอง เธอจึงบอกว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในครั้งที่ดิฉันยังเป็นมนุษย์ ไม่เคยสั่งสมบุญอะไรเลย การกราบไหว้บูชาพระรัตนตรัยที่ใครๆ เขาทำกัน ดิฉันก็ไม่มีโอกาส การเข้าวัดฟังธรรมจากพระภิกษุก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปกับเขาสักครั้ง ดิฉันพูดแต่คำจริงอย่างเดียว และไม่เคยคาดคิด
ว่า การพูดคำจริงจะมีอานิสงส์ผลบุญยิ่งใหญ่ ส่งให้มีความสุขในทิพยสมบัติมากมายถึงเพียงนี้”
   

  เมื่อพระเถระได้ฟังความเป็นมาแล้ว ก็อนุโมทนา จากนั้นก็เหาะไปยังวิมานหลังอื่นอีก ท่านได้เข้าไปถามเจ้าของวิมานว่า “ครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ เธอสั่งสมบุญอะไรไว้ จึงมีวิมานใหญ่โต มีรัศมีกายสว่าง มีรูปร่างงดงาม
กว่าเทพธิดาองค์อื่นๆ”
    เทพธิดาได้ฟังคำถามเจือคำชม ก็รู้สึกเขินอายที่จะตอบท่านว่า “ดิฉันเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นหญิงรับใช้ เจ้านายของดิฉันเป็นคนดุร้าย หยาบคาย มือไวใจโหด จับไม้ได้ทีไร ก็ตีศีรษะดิฉันทุกที โดยไม่ปรานี ดิฉันเจ็บปวดทรมานศีรษะมาก จึงทั้งโกรธทั้งแค้น แต่เมื่อมาดูสถานะของตนเอง ก็สอนตัวเองว่า เจ้านายเราเขามีอำนาจ อยากทุบตีหรือทำให้เราเสียโฉมก็ทำได้ทุกอย่าง ดิฉันนึกถึงสภาพการเป็นคนรับใช้ จึงระงับความโกรธเคืองเจ้านาย มีความอดทนเป็นที่ตั้ง แต่ตัวดิฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่า การระงับความโกรธได้ จะทำให้มาบังเกิดบนสวรรค์
  ” จากนั้น พระเถระก็เที่ยวถามเทพธิดาท่านอื่นๆว่า “พวกเธอสั่งสมบุญอะไรไว้บ้าง จึงได้มาบังเกิดในทิพยสถานอันโอฬารนี้” เทพธิดาท่านแรกเล่าให้ฟังว่า “พระคุณเจ้าผ้เจริญ วัดวาอารามที่อย่ใกลบ้าน ดิฉันไม่เคยเข้าไปทำบุญ ไม่เคยเข้าไปฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างคนอื่นเขา สมาธิภาวนาก็ไม่เคยนั่งเพราะเป็นคนจนและไม่มีกัลยาณมิตรคอยแนะนำ แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ดิฉันเฝ้าไร่อ้อยอยู่นั้น เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งเดินผ่านมาที่ไร่ก็เกิดความเลื่อมใส จึงถวายอ้อยท่อนหนึ่งแด่ท่าน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับอานิสงส์ ผลบุญให้มาบังเกิดบนสวรรค์ มีวิมานใหญ่โตมีรัศมีกายสว่างไสวอย่างเทพธิดาองค์อื่น
  ”เทพธิดาท่านต่อมาตอบว่า “ดิฉันก็ เหมือนกัน ไม่เคยทำบุญอย่างคนอื่นเขา เพียงแต่มีโอกาสถวายผลมะพลับแค่ผลเดียวแด่พระเถระรูปหนึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่า จะได้อานิสงส์มากมายถึงเพียงนี้ ดิฉันนึกเสียดายโอกาสที่ตนเองไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต ทั้งๆที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ได้ขวนขวายในบุญให้มากกว่านี้ เหมือนกับคนอื่นที่เขาให้โอกาสตัวเองเข้าวัดฟังธรรม ได้เข้าใจหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นดิฉันต้องได้ทิพยสมบัติมากยิ่งกว่านี้แน่
  ” เทพธิดาท่านต่อมาเล่าให้ฟังว่า “ดิฉันก็เช่นกัน บุญกุศลที่ใคร ๆ เขามีโอกาสทำกัน ดิฉันก็ไม่เคยมีโอกาสได้กระทำกับเขาเลย เพียงแค่ถวายฟักทองผลหนึ่งแด่พระภิกษุเท่านั้น”
 “พระคุณเจ้า ดิฉันถวายลิ้นจี่ผลเดียวแด่พระสงฆ์ คาดไม่ถึงจริงๆว่าบุญจะส่งผลให้ดิฉันมีทิพยสมบัติมากมายอย่างนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ดิฉันคงไม่ถวายลิ้นจี่แค่ผลเดียวแน่”

 “พระคุณเจ้า ดิฉันก็เหมือนกัน เพียงแค่ถวายเหง้ามันกำมือเดียวแด่พระสงฆ์ แต่ได้อานิสงส์เกินควรเกินคาด ดิฉันรู้สึกอัศจรรย์ในผลแห่งบุญนี้เหลือเกิน”
 เทพธิดาท่านสุดท้ายเล่าให้พระเถระฟังว่า “ดิฉันถวายสะเดาแค่กำมือเดียวแด่พระภิกษุรูปหนึ่ง ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสบุญนั้นส่งผลให้ดิฉันได้ทิพยสมบัติที่โอฬารอย่างนี้”

 

    พระเถระฟังบรรดาเทพธิดาแต่ละท่านพูดถึงสิ่งที่เคยทำไว้ในสมัยครั้งยังเป็นมนุษย์ซึ่งต่างก็สั่งสมบุญเพียงคนละเล็กคนละน้อยแต่ผลที่ได้กลับยิ่งใหญ่ไพศาล มีทิพยสมบัติอันน่ารื่นรมย์อย่างเกินควรเกินคาด ท่านเกิด
ความอัศจรรย์ใจในผลบุญของพวกนาง เมื่อลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็มุ่งตรงไปยังพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า “มีด้วยหรือพระเจ้าข้า แค่บุคคลถวายมะพลับเพียงผลเดียว แล้วไปบังเกิด-บนสวรรค์ได้” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “โมคคัลลานะ ก็เธอไปรู้ไปเห็นมาแล้วมิใช่หรือ เป็นอย่างนั้นแหละ เพราะการทำบุญถูกเนื้อนาบุญ แม้ทำน้อยก็ย่อมได้ผลมาก”
  ตัวอย่างของเทพธิดาทั้งหลายที่นำมาเล่าทั้งหมดนี้ เป็นเครื่องยืนยันพุทธพจน์ที่ว่า“รักษาคำสัตย์ ขจัดความโกรธ” ก็มีสิทธิ์ไปเทวโลกได้ ขอเพียงมีความตั้งใจทำกันอย่างจริงๆจังๆ ไม่ใช่ทำตามอารมณ์หรือทำบาง-โอกาส แต่ทำจนเป็นนิสัยและทำตลอดชีวิตความดีที่เราคิดว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้แหละ จะเป็นมหัคตกุศลที่จะอำนวยผลให้เรามีความสุขในปรโลกได้
   อีกประการหนึ่ง การทำทานนั้น ถ้าทำในบุญเขตและทำด้วยจิตเลื่อมใส ของที่ถวายอาจดูเหมือนเล็กน้อย แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้น เกินควรเกินคาด ยากที่เราจะจินตนาการได้ ดังนั้นเมื่อเราได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐแล้ว ให้ทุกท่านรีบใช้โอกาสนี้เร่งสั่งสมบุญบารมีติดตัวไปให้ได้มากที่สุด บุญจะได้เกื้อหนุนให้เราประสบความสุขและความสำเร็จไปทุกภพทุกชาติตราบถึงที่สุด
แห่งธรรม

 

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล