อยู่ในบุญ ฉบับที่ ๕ ประจำเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖

จำรัส เศวตาภรณ์ ทำไม.?? เขาต้องทำเพลงเพื่อตอบโจทย์ ในสิ่งที่มนุษยชาติค้นหา...

จำรัส เศวตาภรณ์
ทำไม.?? เขาต้องทำเพลงเพื่อตอบโจทย์ ในสิ่งที่มนุษยชาติค้นหา...
 


         หากเราหลบชีวิตที่ต้องรีบเร่งกดดันจนเหนื่อยล้า... มาหยิบเก้าอี้หวายสบายๆ สักตัว แล้วนั่งท่ามกลางความสุขที่ธรรมชาติบรรจง มอบให้โดยการทอดสายตาไปยังธารนํ้า ที่กำลังไหลกระทบก้อนหินน้อยใหญ่ ที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ และยังคงระรินเรื่อย กระเซ็น โดนใบ อ่อนของแมกไม้ที่ต่างทยอยกันผลิใบเล็กๆ ออกมาสัมผัลกับละอองนํ้า ราวกับจะรับรู้ถึง ความปรารถนาดีที่สายนํ้ามอบให้ ในขณะที่หมู่นกน้อยต่างช่วยกันร้องรับขับกันเป็นลำนำดนตรี

            อืม..ถึงเวลาแล้วที่จะสูดลมหายใจลึกๆ หลับตาเบาๆ นำใจให้หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง

          ...ความรู้ลึกเช่นนี้แหละ เป็นความละเมียดละไมทางดนตรีที่ศิลปินผู้นี้ สามารถ ถ่ายทอดสู่ผู้ฟังได้ด้วยดนตรีของเขา "จำรัส เศวตาภรณ์" ศิลปินผู้มีปรัชญาชีวิตที่แตกต่าง จนทำให้ดนตรีของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่าง แพร่หลายในชนอีกกลุ่มที่ปรารถนาจะแสวงหาคำตอบที่สำคัญที่สุดของชีวิต

       จากชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ วัดสายนํ้ามาโดยกำเนิด ประกอบกับการได้รับถ่ายทอดศิลปะทางการดนตรี จากคนรอบๆ ข้างทีละนิด จนซึมซับเข้ามาเป็นตัวเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่การเป็นนักร้องวง Grand'EX ที่ร้องเพลงคู่นก และได้แยกตัวออกมาทำอัลบั้มนกเจ้าโผบิน หยาดฝน บทเพลงและความฝัน ตลอดจนดนตรีประกอบบทละคร และภาพยนตร์ หลายเรื่องที่เป็นที่ รู้จักกัน เช่น นํ้าเซาะทราย ความรักครั้งสุดท้าย ซึ่งเขาเปิดเผยถึงความรู้ลึกลึกๆ บางอย่างว่า ...

        "ผมทำเพลงมามาก ร้องมาก็เยอะ ซึ่งโดยสายอาชีพ ทำให้ผมต้องเล่นดนตรีตอนกลางคืน ตามไนท์คลับ ตามบาร์ ตามคอฟฟี่ชอฟเล่นอยู่ ๔ ปี เลยทำให้มานั่งคิดว่า เอ้...ทำไมเราไม่เหมือนคนอื่นเขา คนอื่นเขาทำงานตอนกลางวัน ส่วนผมต้องมาทำงานกลางคืน ซึ่งชีวิตกลางคืนก็มีแต่อบายมุข ..คนมาฟัง เพลงที่เราร้อง เขามาเต้นจนเหนื่อย มาดื่มจนเมา บางทีก็ทะเลาะ ชกต่อยกัน บางคนฟังเพลงของเราแล้ว เขาเศร้า ร้องไห้ นึกถึงความหลัง อยากฆ่าตัวตายก็มี ฟังแล้ว ใจไม่สงบ..พอฟังอีก ก็ร้องไห้อีก ..ฟังอีก ก็ เศร้าอีก... เหมือนไปสร้างโจทย์เพิ่มให้เขา อย่างนี้ไม่น่าจะใช่ความสุข"

            จากความรู้ลึกลึก ๆ เช่นนี้เอง กลับกลาย เป็นแรงบันดาลใจครั้งสำคัญ ที่ทำให้เขาหันตัวเองออกมาทำดนตรีแนวความสุขล้วนๆ และทำให้มาค้นพบตัวเองว่า เขาถนัดและมีความสุขกับการทำเพลงแนวนี้มากกว่า โดยเรียก ดนตรีแนวนี้ว่า Green Music เป็นดนตรีที่ปราศจากมลภาวะ แสดงถึงจิตวิญญาณทางตะวันออก ชึ่งก็คือจิตวิญญาณทางพุทธ เป็น แนว Relaxing, Healing and Meditation ซึ่งต่อมาผลงานของเขา กลับกลายมาเป็นที่นิยมกันมากในชนอีกกลุ่ม และคงความเป็นสากล อมตะ ได้มากกว่าดนตรีแนวเติมที่เขาทำ

          "..ดนตรีแนวนี้ เหมือนไปตอบโจทย์ใน ชีวิตของคนฟัง ที่เขาต่างแสวงหาคำตอบมา ทั้งชีวิตแต่ไม่พบ คือ ทุกชีวิตแท้จริงต้องการความสุข แต่บางทีฟังเพลงบางอย่างแล้ว กลับทำให้หวนระลึกนึกถึงความหลัง ..ร้องไห้ ซึ่งไม่ใช่อาการของสิ่งที่บ่งบอกว่า มันคือความสุข แต่เพลงแนว Green Music นี้ฟัง แล้วนึกถึงธรรมชาติ ผ่อนคลาย รู้ลึกลูกบำบัด รู้ลึกทำให้จิตใจสงบเป็นสมาธิ เป็นแนวสร้างสรรค์ ที่ผู้ฟังจะสามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่า ชีวิต..มีอะไรที่มากกว่านี้นะ ชีวิตในวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่า แล้วพอผมทำดนตรีแนวนี้ขึ้นมา ได้เห็นคนฟัง ทำชีวิตตัวเองให้มีคุณค่าขึ้น มีความสุขขึ้น บางคนฟัง ขณะฝึกสมาธิ ซึ่งช่วยให้ใจสงบ แล้วเขาก็ ค้นพบความสุขที่แท้จริง ..พอเห็นภาพนี้แล้ว ผมยิ่งมีความสุข รู้สึกตัวเองมาถูกทาง"

         มีศิลปินหลายคนไม่กล้ามาทำเพลงแนวนี้ เพราะรู้สึกไม่ถนัด หรือเข้าถึงยาก แต่สำหรับคุณจำรัสแล้วเขาบอกว่า "จริงๆ ผมว่าเพลงหรือทำนองที่ผม แต่งขึ้น เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่ผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน อาจจะอยู่ในอากาศ สวรรค์ หรือที่ไหนสักที่ ผมเป็นเพียงทางผ่านให้สิ่งเหล่านี้ ถ่ายทอดมาที่ตัวผมแค่นั้น แล้วผมถ่ายทอดออกมาอีกที ซึ่งจะถ่ายทอดได้ดีหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับใจเราว่าจะปรับคลื่นให้ตรงกับสิ่งนั้น และรับมาได้รึเปล่า ที่เชื่ออย่างนั้นเพราะบ่อยมากที่ผมนอนหลับ แล้วได้ฝันไปว่า ได้ยินทำนองเพลงที่เพราะมาก พอตื่นขึ้นก็ถ่ายทอดเพลงนั้นออกมา ซึ่งบางทีผมไม่ได้คิดหรือแต่งเพลงนั้น เพียงแต่ผมไปได้ยิน แล้วกลายเป็นผู้ถ่ายทอด และยิ่งในช่วงหลังที่มาเข้าวัดพระธรรมกาย มาฝึกสมาธิเป็น ๑๐ กว่าปีนี้กลับทำให้เห็นได้ชัด คือ ผมหลับตาทำสมาธิ หลังจากที่ใจสงบสบาย พอคิดที่จะแต่งเพลง ทำนองมันออกมา จนคีย์แทบไม่ทันเลย ซึ่งเพลงที่ทำออกมาเป็นเพียง ส่วนน้อยเท่านั้น แล้วไม่ต้องใช้เวลานานในการแต่ง"

         จากความยากของการแต่งเพลงที่หลายคนคิดนี่เอง จึงทำให้มีคนสงสัยว่า จริงหรือเปล่า? ที่ศิลปินจะทำงานศิลปะได้ดีต้องกินเหล้า สูบบุหรี่ หรือเสพยา เพื่อให้ตัวเองหลุดจากโลกธรรมดา อารมณ์ธรรมดา เพื่อคิดในสิ่งที่แหวก แปลกออกไป แล้วจะได้ผลงานที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับคุณจำรัสแล้ว งานที่ไม่ธรรมดาของเขา เกิดจากใจที่เป็นสมาธิ

        "ผมว่า...งานที่ดีต้อง เกิดจากใจที่ดี ใจที่มีสติสัมปชัญญะ มีสมาธิในงาน มากกว่า ดังนั้นการเปลี่ยน จากการเสพยา ซึ่งทำลายสุขภาพ มาเป็นการฝึก สมาธิ เพื่อให้หลุดจากความวุ่นวาย ก็จะได้สภาพใจทีไม่ธรรมดา มาสร้างสรรค์งานได้ดีกว่า เพราะอย่างนักแต่งเพลงเอง ต้องทำหน้าที่ทั้งสองบทบาทไปพร้อมๆ กัน คือ เป็น ผู้แต่งเพลง ซึ่งต้องมาคิดว่าเราจะให้อะไร กับผู้ฟัง แล้วในทางกลับกันต้องถอยตัวเอง ออกมาเป็นผู้ฟัง ว่ารู้สึกอย่างไรกับเพลงที่แต่งขึ้น การถอยไปถอยมาระหว่างสองความรู้สึกนี้ ซึ่งถ้าเสพยา มึนๆ งงๆ ผมว่า ไม่น่าจะทำได้ดี"

         จากข้อคิดในชีวิตหลายข้อ ที่เราได้มีโอกาสรับรู้ ขณะนั่งพูดคุยกับศิลปินท่านนี้ เรายังสัมผัสได้อีกว่า เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิลปินธรรมดาๆ แต่เขาเป็นศิลปินที่สามารถผสมผสานระหว่างพุทธศาสตร์ ดนตรี ธรรมชาติ ให้ผสม กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวในตัวเขาอย่างมีดุลยภาพ ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงทำให้เขากลายเป็นศิลปินที่มีวิถีชีวิตที่สูงส่ง สงบสุข และ ประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้...

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล