ฉบับที่ ๒๑ ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

หลวงพ่อตอบปัญหา "ทำอย่างไรให้ชาวต่างชาติเข้าใจการทำบุญในพระพุทธศาสนา" โดย : พระภาวนาวิริยคุณ

 



               นมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างยิ่ง ในฐานะที่ลูกเป็นชาวต่างชาติ และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ลูกอยากให้ญาติมิตรได้เข้าใจถึงการสร้างมหาทานบารมีเช่นเดียวกับลูก แต่บางครั้งก็มีความรู้สึกว่า ลำบากมากในการที่จะบอกบุญ อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ลูกควรจะทำอย่างไรญาติมิตรถึงเข้าใจเรื่องการทำบุญทำทานในพระพุทธศาสนา

 



              เรื่องความเข้าใจในการทำบุญทำทานนี้ อย่าว่าแต่คุณหนูที่นับถือศาสนาอื่น แล้วชวนพ่อแม่พี่น้องมาทำบุญในพระพุทธศาสนา แต่เขาไม่ค่อยจะยอมทำเลย แม้แต่ชาวพุทธด้วยกันนี่แหละ มีไม่น้อยหรอก ที่ชวนมาทำบุญแล้วเขาก็ไม่ทำ มันยากพอๆ กันนะคุณหนู

               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ข้อคิดไว้ว่า การทำบุญทำทานกับการรบนั้น มันหนักแรงพอกัน เพราะในการรบ เราจะต้องต่อสู้กับข้าศึกแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน การทำทานก็เหมือนกัน เราก็ต้องรบกับความตระหนี่ที่ห่อหุ้มอยู่ในใจ ที่มนุษย์เองมองไม่เห็น แล้วคิดว่า ตัวเองใจกว้างแล้ว

               เพราะฉะนั้น พอไปชวนใครมาทำบุญ ทำทาน แม้เขานับถือศาสนาพุทธด้วยกัน ก็ใช่ว่า เขาจะเต็มใจร่วมทำบุญทำทานทุกครั้ง การที่ คุณหนูซึ่งมีคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้นับถือพระพุทธ-ศาสนา แล้วจะให้เขามาทำบุญทำทานง่ายๆ อย่างคุณหนูนั้นคงไม่ง่ายหรอก

               คุณหนูอย่าแปลกใจ แม้ญาติของหลวง-พ่อเองนั่นแหละ หลวงพ่อบวชมา ๓๐ กว่าพรรษาแล้ว ก็ยังมีญาติบางคนที่หลวงพ่อไปชวนเขาทำบุญทำทานตั้งแต่บวชพรรษาแรกๆ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ทำบุญกับหลวงพ่อเลย แม้กับวัดอื่น เขาก็ไม่ค่อยจะทำเหมือนกัน มันเป็นอัธยาศัยของเขา

               ถามว่าหลวงพ่อท้อไหม ไม่ท้อ พอเจอหน้าเขาก็ชวนทำบุญทำทานเรื่องอื่นไป แทนที่จะทำบุญกับศาสนา ก็ไปชวนเขาปล่อยสัตว์ปล่อยปลา หรือชวนให้เขาไปทำบุญกับโรงพยาบาลแทน ก็ยังดีที่เขายอมทำ แต่ถ้ามาทำบุญกับศาสนาเขายังมองไม่เห็นคุณค่า เลยยังไม่ทำ

               ญาติหลายคนของหลวงพ่อที่เดิมมีอาการอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้บางคนเปลี่ยนมาตั้งใจทำบุญทำทานแล้ว แถมยังมาตำหนิหลวงพ่อว่า ทำไมไม่อธิบายเรื่องทำบุญทำทานกับพระพุทธศาสนาให้เขาเข้าใจตั้งแต่ ๑๐ - ๒๐ ปีก่อนโน้น จะได้ทำบุญมากกว่านี้

               ด้วยเหตุที่นิสัยใจคอของมนุษย์แตกต่างกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนวิธีทำบุญหลาย ๆ รูปแบบไว้ให้ เอาอย่างนี้สิ เราจะต้องเริ่มฝึกเขาจากง่ายมาหายาก

               ถ้าชวนเขาทำทานในพระพุทธศาสนาแล้วเขาไม่อยากทำ ก็ไม่เป็นไร ลองชวนเขาไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานกุศลต่างๆ จะในศาสนา หรือนอกศาสนาก็ได้ คือฝึกให้เขาคุ้นต่อการเป็นผู้ให้ จะด้วยวิธีไหนก็ได้

               จากนั้นให้เขาทำอะไรที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก นั่นคือหัดให้เขามานั่งสมาธิเสียบ้าง เพราะสมาธิเป็นของกลางๆ ไม่ได้ผูกขาดไว้กับศาสนาใด ให้เขาทำสมาธิไป ครั้งละ ๕-๑๐ นาทีต่อครั้ง หนักเข้าๆ ก็เป็น ๑๐-๒๐ นาทีต่อครั้ง หนักเข้าๆ ก็นั่งถึง ๑ ชั่วโมงได้ พอมาถึงจุดนี้แสดงว่า ใจของเขานุ่มนวลแล้ว

               จากนั้นคุณหนูก็ฝึกให้เขาอ่านหนังสือธรรมะบ้าง หรือเล่าเรื่องธรรมะให้เขาฟังบ้าง

               แล้วคุณหนูก็ค่อยๆ ดูการเปลี่ยนแปลงของเขาว่า เหมาะที่จะไปทำทานตรงไหน จะทำกับในศาสนาเดิม หรือกับสังคมสงเคราะห์ซึ่งเป็นของกลางๆ ก็ทำไป หรือไปเป็นอาสาสมัครงานกุศลต่างๆ เพื่อชาติบ้านเมืองก็ทำไป ให้เขาคุ้นเคยกับการให้ ตั้งแต่ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้ความรู้เป็นทาน ให้เรี่ยวแรงเป็นทาน ให้ข้อคิด ให้อภัยคน ให้รู้จักยกย่องคนเป็น ค่อยๆ เพิ่ม ดีกรีแก่กล้าของการสร้างบุญขึ้นมาอย่างนี้

               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ขั้นตอนในการก้าวหน้าของคนเราที่จะทำให้เกิดบุญกุศลในจิตใจ มีอยู่ถึง ๑๐ ขั้นตอน คือ

               ขั้นที่ ๑ ให้เขารู้ว่าในโลกนี้ เราต้องอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้นการปันกันกินปันกันใช้ เป็นสิ่งที่ดี จะเป็นบุญมากหรือบุญน้อย จะศาสนาเดียวกัน หรือนอกศาสนายังไม่พูด เพราะยังตามไม่ทัน

               ขั้นที่ ๒ คนในโลกนี้ก็มีทั้งคนอ่อนแอ คนแข็งแรง คนแก่ คนหนุ่ม คนที่ช่วยตัวเองและช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลกนี้อยู่ได้ด้วยการสงเคราะห์กัน

               ขั้นที่ ๓ โลกนี้อยู่ได้ด้วยการให้เกียรติกัน ไม่จับผิดกัน

               ขั้นที่ ๔ โลกนี้อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม คนทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ค่อยๆ ให้เขาไต่เต้าขึ้นไปอย่างนี้ ซึ่งการปรับทัศนคติให้ตรงอย่างนี้ เป็นพัฒนาการทางจิต

               ขั้นที่ ๕ โลกนี้มีที่มา โลกในที่นี้คือ ตัวของเรา แต่ละคนมีที่มาไม่ใช่มาลอยๆ คือมาจากกรรมที่เราก่อเอาไว้ข้ามภพข้ามชาติส่วนหนึ่ง มาจากกรรมที่เราก่อไว้ตั้งแต่เราเกิดจนกระทั่งเมื่อวานนี้อีกส่วนหนึ่ง การที่คนใดฉลาดหรือโง่ รวยหรือจน ส่วนหนึ่งนั้นขึ้นกับกรรมในอดีตมา อีกส่วนหนึ่งขึ้นกับกรรมในปัจจุบัน
พวกที่ทำบุญในอดีตมาดี จะหยิบอะไรก็สำเร็จ แต่ว่าอีกพวกหนึ่งทำทานมาน้อย จะหยิบอะไรก็ไม่สำเร็จหรอก แต่อาศัยมีความเพียรในปัจจุบันนี้ หยิบอะไรก็สำเร็จเหมือนกัน แต่ว่าเหนื่อยหน่อย ถ้าเขาตรองออกก็ก้าวเป็นพัฒนาการทางจิตขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

               ขั้นที่ ๖ โลกหน้ามีที่ไป คือ ตายแล้วไม่สูญ ที่พูดว่าตายแล้วให้ไปที่ชอบๆ แล้วที่ชอบนั้นคือที่ไหน ถ้าชอบทำดีก็ไปสวรรค์ ชอบทำชั่วก็ไปนรก พอตรองได้อย่างนี้แล้วพัฒนาการทางจิตก็จะก้าวไปตามลำดับๆ

               ขั้นที่ ๗ แม่มีคุณ

               ขั้นที่ ๘ พ่อมีคุณ

               ขั้นที่ ๙ นรก-สวรรค์มี นรกสวรรค์ของพุทธ คริสต์ อิสลาม หรือของชนชาติไหนๆ ก็นรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน เหมือนดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ที่พุทธ คริสต์ อิสลามเห็นมันก็ดวงเดียวกัน
ฝึกให้เขาค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาทีละขั้น ค่อยๆ ปรับทัศนคติไปตามลำดับ เมื่อเขามองออกในลักษณะที่เป็นอินเตอร์เสียแล้ว เลยข้ามเขตแดนแห่งศาสนา กลายเป็นของกลางไป พอมาถึง จุดนี้เข้า เขาจะเข้าใจว่า นรกสวรรค์มีอยู่ที่บุญบาป ไม่ใช่อยู่ที่นับถือศาสนาไหน

               ขั้นที่ ๑๐ ในที่สุดเขาก็จะก้าวไปถึงความเข้าใจว่า ผู้บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ แล้วสอนให้ ผู้อื่นบริสุทธิ์ตามไปได้มีจริง แล้วเขาก็จะทำบุญกับผู้ที่มีความบริสุทธิ์ ผู้ที่มีความดี เขาไม่เกี่ยงแล้วว่าจะเป็นศาสนาไหน

               คุณหนูต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า พัฒนาการทางจิตมันค่อยเป็นค่อยไป แล้วเราก็ปรับปรุง ตัวเองให้เป็นต้นแบบญาติพี่น้องให้ได้ เขาก็จะเดินตามเรามา คุณหนูมาชวนปุบปับให้เขาทำบุญข้ามศาสนา ไม่ก้าวมาทีละขั้น ทีละตอนมันก็ยาก ให้คุณหนูไปเริ่มใหม่ เดี๋ยวก็ทำได้ เมื่อเราได้พยายามทำ


บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล