ฉบับที่ ๓๓ ประจำเดือนกรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

"ร่วมบุญซื้อที่ดิน มีสมบัติเหลือกินไปทุกชาติ"

 

มีธรรมภาษิตในอรรถกถาอกิตติชาดก ความว่า

            "ธรรมดาว่าการให้ทานนี้ เป็นประเพณีของบัณฑิตทั้งหลายแต่ปางก่อนอย่างแท้จริง การให้ทานนั้น ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ หรือเป็นบรรพชิตก็ตาม ก็ควรให้ทั้งนั้น"

            ชีวิตที่ปราศจากการให้ทานนั้น ไม่สามารถ ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เหมือนเรือที่น้ำมันหมด ทั้งยังไม่มีใบเรือ ไม่มีหางเสือ ต้องจอดลอยลำอยู่กลางทะเล ฉันใด ชีวิตของผู้ที่ไม่ได้ให้ทาน ย่อมเหมือนลอยเคว้งคว้างอยู่ในสังสารวัฏ ฉันนั้น ชีวิตของผู้ไม่ให้ทาน ย่อมไม่สามารถก้าวขึ้นสู่บันไดแห่งความสำเร็จ เหมือนนกที่ไม่มีขนปีก ย่อมบินขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ บัณฑิตในกาลก่อนจึงหมั่นแนะนำพรํ่าสอนลูกหลาน ญาติมิตร พวกพ้องบริวารว่าอย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้ และความตระหนี่ยังเป็นศัตรูที่ขัดขวางหนทางแห่งการสร้างบารมีอีกด้วย จะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ควรทำทานทั้งนั้น

            การเดินทางไกลในสังสารวัฏ จำเป็นต้องมีเสบียงในการเดินทางคือบุญกุศล ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้เราไม่พลัดตกไปในอบายภูมิ แต่กลับจะได้เวียนวนอยู่แต่ในสุคติโลกสวรรค์ ได้มีโอกาสชำระ กาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ดังนั้น การสั่งสมบุญจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการทำธุรกิจ เหมือนพราหมณ์ผู้ใจบุญได้รวบรวมเงินที่หามาได้ตลอดชีวิตเพื่อนำไปซื้อที่ดินสร้างวัดถวายแด่ภิกษุสงฆ์ บุญนั้นได้ส่งผลให้ท่านได้เสวยสุขในสุคติสวรรค์นานถึง ๓ หมื่นกัป ภพชาติ สุดท้ายได้เป็นพระอรหันต์ผู้เลิศทางด้านแตกฉานในพระวินัย เรื่องของท่านมีอยู่ว่า

            ในยุคสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่า สุชาต ได้เข้าไปร่วมฟังธรรมกับพุทธบริษัท ท่านได้ยินพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ดาบสตนหนึ่ง ซึ่งได้ใช้อิทธิปาฏิหาริย์ นำดอกไม้มาบังแสงแดดให้กับพุทธบริษัทที่มาฟังธรรม ซึ่งนั่งล้อมรอบพระองค์กว้างเป็นระยะทางถึง ๑ โยชน์ พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า "ต่อไปในอนาคตกาล ดาบสท่านนี้จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในสมัยของพระโคตมพุทธเจ้า และเป็นผู้เลิศในด้าน พระธรรมกถึก"

 
            พราหมณ์สุชาตได้ยินคำพยากรณ์เช่นนั้น จึงปรารถนาตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในอนาคตบ้าง จึงตัดสินใจรวบรวมทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ นำไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดขึ้น เมื่อดูชัยภูมิแล้ว เห็นว่าที่ดินบริเวณหน้าพระนครเหมาะสม ต่อการสร้างวัด จึงได้ซื้อสวนชื่อว่า โสภณะ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพระนคร แล้วจึงเริ่มสร้างสังฆารามถวายสงฆ์ ท่านได้ตั้งการอารักขาด้วยการก่อสร้างกำแพง เพื่อไม่ให้สัตว์ร้ายหรือผู้ไม่หวังดี เข้ามาก่อกวนความสงบ สร้างที่พักอาศัยให้ญาติโยมที่ตั้งใจมาปฏิบัติธรรม ภายในวัดได้จัดแบ่งเขตเป็นสัดส่วน จากนั้นจึงได้ถวายภัตตาหารแด่พระขีณาสพจำนวน ๑,๐๐๐ รูป โดยมีพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประมุข

            เมื่อพระบรมศาสดาทรงฉันเสร็จ พราหมณ์ ได้กราบทูลว่า "อารามชื่อโสภณะนี้ ข้าพระองค์ซื้อด้วยทรัพย์ที่แสวงหามาตลอดทั้งชีวิต ซื้อที่ดินและทุ่มเทสร้างขึ้นเพื่อหวังบุญเป็นที่ตั้ง ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายสังฆารามในครั้งนี้ ขอให้ข้าพระองค์ ได้เป็นภิกษุผู้ทรงพระวินัยในอนาคตกาลด้วยเถิด"

            พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า "ผู้ใดได้มอบถวายสังฆารามที่สร้างเรียบร้อยแด่พระพุทธเจ้า เราตถาคตกล่าวสรรเสริญเขาผู้นั้น จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และ พลเดินเท้า จักแวดล้อมผู้นั้นอยู่เป็นนิจ เครื่องดุริยางค์หกหมื่นและกลองทั้งหลาย จักประโคม ห้อมล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิจ นารีแปดหมื่นหกพันนาง ตกแต่งงดงาม มีผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร สวมสอดแก้วมณีและกุณฑล มีหน้าแฉล้ม ยิ้มแย้ม ตะโพกผึ่งผาย เอวเล็กเอวบาง จะแวดล้อมผู้นี้อยู่เป็นนิจ ผู้นั้นจักรื่นเริงใจอยู่ในเทวโลกเป็นเวลา ๓๐,๐๐๐ กัป จักเป็นท้าวสักกะเสวยเทวรัชสมบัติ ๑,๐๐๐ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในแว่นแคว้น ๑,๐๐๐ ครั้ง เสวยราชสมบัติอันไพบูลย์ในแผ่นดินนับครั้งไม่ถ้วน ในอีกแสนกัปแต่กัปนี้ไป เธอจักได้เป็นสาวกของพระโคตมพุทธเจ้า ได้ฉายานามว่า อุบาลี เธอจักเป็นผู้ทรงพระวินัย ดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาของพระชินเจ้า"

            เมื่อพราหมณ์สุชาตได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว บังเกิดความปีติใจมาก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็มุ่งมั่นสั่งสมบุญเรื่อยมา ครั้นละสังขารแล้ว ได้ประสบกับผลบุญที่เกิดจากการซื้อที่ดินเพื่อสร้างสังฆารามในครั้งนั้น ตรงตามพุทธพยากรณ์ทุกประการ จนกระทั่งมาถึงภพชาติสุดท้ายท่านได้ออกบวชเป็นพระเถระชื่อว่าอุบาลี ได้เป็นพระอรหันต์ผู้เป็นเอตทัคคะคือเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านทรงจำพระวินัย

            เราจะเห็นได้ว่า บุญทั้งหลายที่ได้ทำเอาไว้อย่างดีแล้ว สามารถทำความปรารถนาที่เรา ทั้งหลายต่างตั้งใจเอาไว้ให้กลายเป็นจริงได้ ถ้าหากตั้งใจทำตามมโนปณิธานอย่างแน่วแน่ ขอเพียงไม่ย่อท้อ ไม่สิ้นหวัง มีความมานะบากบั่น สั่งสมบุญกันเรื่อยไป สักวันหนึ่งก็จะสมปรารถนา

            นอกจากนี้ ท่านพระอานนท์เถระยังเป็นตัวอย่างของยอดนักสร้างบารมี ผู้ที่ได้ถวายวิหารเป็นสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์ ด้วยอานิสงส์นั้น ทำให้ท่านเป็นผู้ที่ได้ใกล้ชิดกับพระพุทธองค์มากที่สุด ได้รับยกย่องว่าเป็นยอดของภิกษุผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก แล้วยังเป็นพหูสูตอีกด้วย ปฏิจจสมุปบาทธรรม แม้เป็นธรรมที่ลึกซึ้งยากต่อการเข้าใจก็ดูเหมือนเป็นธรรมที่ง่ายสำหรับท่าน ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า ในอดีตท่านได้เคยได้ซื้อที่ดินด้วยทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่แพงมากในสมัยนั้น แล้วบริจาคเงินอีก ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะเพื่อสร้างวิหารถวายแด่ภิกษุสงฆ์

            ตั้งแต่นั้นมาจึงตั้งใจทำความดีตลอดแสนปี เมื่อละจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่านเวียนวนอยู่ในสุคติภูมิอย่างเดียว ภพชาติสุดท้ายทรงถือกำเนิดเป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ และได้เป็นสหชาติ คือประสูติในเวลาเดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา เมื่อท่านเสด็จออกผนวช ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นยอดเอตทัคคะในด้านพหูสูต รวมไปถึงเป็นยอดพุทธอุปัฏฐาก นอกจากนี้ท่านยังได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า ในบรรดาภิกษุผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากในภัทรกัปนี้ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติแล้วถึง ๓ พระองค์ พระอานนท์ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ที่สุด

            เราจะเห็นว่า การที่ท่านได้ตำแหน่งอันเลิศนี้มา ก็เพราะอานิสงส์ที่ได้เคยทำบุญซื้อที่ดินและถวายมหาวิหารเป็นที่พำนักอาศัยของหมู่สงฆ์ ดังนั้นอานิสงส์ในการซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดเป็นบุญใหญ่ที่บังเกิดขึ้นได้ยาก ต้องอาศัยกำลังศรัทธา และกำลังทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก แต่เมื่อสามารถตัดใจถวายได้ บุญใหญ่ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไม่มีประมาณ ดังนั้นเมื่อคุณครูไม่ใหญ่เปิดโอกาสให้เราได้เป็นเจ้าของบุญแล้ว ก็ให้รีบขวนขวายทำกันไปเถิด บุญนี้จะได้เกื้อหนุนเราให้เป็นราชันแห่งผืนปฐพี และราชินีแห่งเมทนีดล ไม่รู้จักลำบากยากจน ใครทำบุญซื้อที่ จะมั่งมีไปทุกชาติ สมบัติจะไม่วิบัติไปด้วยภัยใดๆ จะมั่นคงและมั่งคั่ง ได้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ประดุจดั่งท่านพระอานนท์

            ยอดนักสร้างบารมีทั้งหลาย...เวลาของชีวิต มีค่ามากเกินกว่าที่เราจะปล่อยให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ประโยชน์ของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เพียงได้เล่าเรียนจนจบปริญญา หรือได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่านั้น เพราะความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้ยั่งยืนตลอดไป เมื่อถึงเวลาที่เราต้องตาย สิ่งเหล่านี้จะสูญสลายไป เท่ากับเราไม่ได้อะไรติดตัวไป หากเราต้องการใช้เวลาของชีวิตให้มีค่า มากกว่าความสำเร็จเหล่านั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการทำความดี และหาโอกาสสร้างคุณประโยชน์ให้บังเกิดขึ้นแก่โลก ด้วยการช่วยกันร่วมบุญซื้อที่ดิน เพื่อรองรับการเดินทางมาแสวงบุญ ของสาธุชนจากทั่วทุกมุมโลก

            ขอให้เรามั่นใจเถิดว่า การที่เราทุ่มเทชีวิตจิตใจ เป็นส่วนหนึ่งในการซื้อที่ โดยไม่มีข้อแม้ ข้ออ้างและเงื่อนไข ชีวิตเราจะปลอดภัยและ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะ ที่ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดๆ แม้กระทั่งความตาย เราจะมีความรู้สึกเลยว่า เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัยเท่านั้น จะทำให้เราเข้าถึงภพภูมิที่ดีกว่า ละเอียดประณีตกว่า เหมือนการย้ายตำแหน่ง ย้ายที่อยู่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้นวันเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัดนี้ เราปรารถนาจะร่วมบุญซื้อที่เพื่อรองรับการสร้างบารมีของมนุษยชาติ ก็รีบทำให้เต็มที่ ดังสำนวนที่ว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก เรามาถึงอู่แห่งทะเลบุญแล้ว จะใช้ภาชนะอะไรตักก็เลือกเอา เพราะชีวิตนี้ขึ้นอยู่กับเรา ใครมุ่งมั่นจะตามติด ติดตามคุณครูไม่ใหญ่ไปดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ มุ่งมั่นสร้างบารมีเพื่อรื้อวัฏฏะไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ก็ให้ทุ่มเทกันเถิด

            "บุคคลพึงนำความตระหนี่ออกไปเสีย พึงข่มความตระหนี่ซึ่งเป็นตัวมลทิน แล้วพึงให้ทานเถิด เพราะบุญทั้งหลายเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ในโลกหน้า"

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล