ฉบับที่ ๓๓ ประจำเดือนกรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

อานิสงส์สร้างพระพุทธรูป "ก่อนตายจิตเลื่อมใสได้ไปสวรรค์"

 


เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

การทำใจให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทำให้เกิดความสุขตั้งแต่เริ่มต้นที่เกิดความเลื่อมใส ไปจนถึงแม้ตายไปแล้ว ก็มีความสุขในสวรรค์ ถึงแม้จะไม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล แต่ถ้าหากช่วงสุดท้ายของชีวิต ได้ทำใจให้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเต็มหัวใจ ก็มีสิทธิ์เสวยทิพพสมบัติในสวรรค์ได้ ดังเรื่องต่อไปนี้

ในกรุงสาวัตถี มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งอายุ ๑๖ ปี เกิดมาในตระกูลพราหมณ์ที่มีฐานะปานกลาง แต่ผู้เป็น พ่อนั้นมีความตระหนี่เหนียวแน่น ชนิดที่ไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย

วันหนึ่ง พราหมณ์อยากจะให้เครื่องประดับแก่ลูก แต่ก็เสียดายค่าจ้าง จึงทำตุ้มหูด้วยตนเอง มีลักษณะกลมเกลี้ยง แล้วเอาให้ลูกประดับหู เขาจึงมีชื่อว่า "มัฏฐกุณฑลี" แปลว่าผู้มีตุ้มหูเกลี้ยงๆ

วันหนึ่ง เขาป่วยเป็นโรคผอมเหลือง ผู้เป็นแม่เห็นเข้าก็ไปหาพราหมณ์บอกว่า "ท่านพราหมณ์ ลูกของเราป่วยมากแล้ว ท่านรีบไปหาหมอมารักษาลูกเสียเถิด" พราหมณ์บอกว่า "นางผู้เจริญ ถ้าเราหาหมอมา ก็ต้องให้ค่าจ้าง เธอไม่คิดถึงค่ารักษาที่จะต้องเสียเลยหรือ"

นางพราหมณีจึงกล่าวว่า "ก็ลูกเราป่วยนะ ไม่หาหมอมารักษา แล้วท่านจะทำอย่างไรเล่า" พราหมณ์กล่าวว่า "ก็หาทางรักษาชนิดที่ไม่ต้องให้ค่าจ้างก็ได้นี่" พราหมณ์เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว ก็ได้ไปหาหมอ แล้วถามหมอว่าคนที่เป็นโรคอย่างนี้ จะต้องใช้ยาชนิดไหน หมอก็บอกว่า ต้องเปลือกต้นไม้ชนิดนั้น รากไม้ชนิดโน้น

พราหมณ์จึงรวบรวมพืชสมุนไพรตามที่หมอบอก เอามาประกอบกันต้มปรุงเป็นยาให้ลูกดื่ม ลูกดื่มยาที่พราหมณ์ต้มให้ ผ่านไป ๒-๓ วัน อาการป่วยก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเป็นหนักเข้าก็หมดแรง ลุกไม่ไหว

พราหมณ์เห็นแล้วก็รู้ว่า ลูกเราไม่ไหวแล้ว จึงไปหาหมอมาคนหนึ่ง เมื่อหมอนั้นมาตรวจดูก็รู้ว่า คงไม่รอดแล้วล่ะ จึงพูดเลี่ยงไปว่า "ท่านหาหมออื่นมารักษาเถอะ เรามีธุระด่วนเสียแล้ว"

พราหมณ์รู้ว่า ลูกเราคงอยู่อีกไม่นานแล้ว จึงอุ้มลูกออกมาจากห้อง ให้นอนที่ระเบียงหน้าบ้าน เพราะกลัวผู้ที่มาเยี่ยมจะเห็นสมบัติที่อยู่ในเรือน

วันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงทอดพระเนตรเห็นมัฏฐกุณฑลี ปรากฏในข่ายพระญาณ ในสภาพที่ ป่วยหนักนอนรอความตายอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน จึงทรงดำริว่า เมื่อเราไปยังที่นั้น จะเกิดประโยชน์อะไรบ้าง ก็ทรงเห็นเหตุการณ์โดยตลอด จนถึงมัฏฐกุณฑลีได้เกิดในสวรรค์ ได้ฟังธรรมพร้อมกันกับพราหมณ์ผู้เป็นพ่อ แล้วได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

ในวันรุ่งขึ้น จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี โดยมีพระสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงพระดำเนินไป ตามลำดับถึงประตูเรือนของพราหมณ์นั้น

ในขณะนั้น มัฏฐกุณฑลีนอนหันหน้า เข้าไปภายในเรือน พระบรมศาสดาทรงทราบว่า เขาไม่เห็นพระองค์ จึงเปล่งพระรัศมีให้สว่างจ้าขึ้น

มัฏฐกุณฑลีคิดว่า แสงสว่างอะไรนะ จึงพลิกตัวกลับมา เห็นพระบรมศาสดาจึงคิดว่า เรามีพ่อเป็นคนพาล จึงไม่ได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทำการต้อนรับ ไม่ได้ถวายทาน หรือฟังธรรมแม้สักอย่างเดียว บัดนี้ แม้แต่มือทั้งสองก็ยังยกไม่ไหว บุญอย่างอื่นเราทำไม่ได้แล้ว เมื่อคิดอย่างนี้แล้วจึงทำใจให้เลื่อมใสแต่เพียงอย่างเดียว พระบรมศาสดาทรงทราบว่า มัฏฐกุณฑลีทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้ว ก็เสด็จจากไป

เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จไปพอลับตาเท่านั้น มัฏฐกุณฑลีก็สิ้นใจ เป็นเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้นในวิมานทองสูงประมาณ ๓๐ โยชน์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวาร ๑ พัน

พราหมณ์ผู้เป็นพ่อเมื่อฌาปนกิจร่างของลูกชายแล้ว ก็ได้แต่เศร้าโศกเสียใจคิดถึงลูกชายที่ตายไปแล้ว จึงไปเดินร้องไห้รำพึงรำพันทุกวัน ในป่าช้าใกล้ๆ ที่เผาศพของลูกชายว่า "ลูกชายคนเดียวของพ่ออยู่ไหน จงมาหาพ่อเถอะ"

ขณะนั้น เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีกำลังตรวจดูทิพพสมบัติของตน คิดว่าสมบัตินี้เราได้ด้วยบุญอะไร? ก็รู้ว่า ได้ด้วยบุญที่ทำใจให้เลื่อมใสในพระบรมศาสดา และตรวจต่อไปอีกก็เห็นพ่อกำลังเดินร้องไห้ คิดถึงตนอยู่ในป่าช้า

จึงจำแลงกายเป็นมาณพหนุ่มคล้ายมัฏฐกุณฑลี มายืนร้องไห้ในที่ ไม่ไกลจากที่ที่พราหมณ์ยืนร้องไห้อยู่ ด้วยประสงค์จะบรรเทาความเศร้าโศกของพราหมณ์ และแนะนำเนื้อนาบุญให้ พราหมณ์เห็นมาณพหนุ่มแต่งกายเหมือนมัฏฐกุณฑลี มายืนร้องไห้ใกล้ๆ จึงเข้าไปหา และถามว่า "ท่านเป็นใคร มายืนร้องไห้ต้องการอะไรหรือ?"

มาณพนั้นจึงตอบว่า "ข้าพเจ้ามีรถอยู่คันหนึ่ง มีความงดงามมาก แต่ข้าพเจ้ายังหาล้อที่เหมาะสมกับรถของข้าพเจ้าไม่ได้ เพราะเหตุนี้แหละข้าพเจ้าจึงอยากตาย" พราหมณ์จึงกล่าวว่า "ท่านต้องการล้อเงิน ล้อทอง แก้วมณี หรือโลหะ จงบอกมาเถิด ข้าพเจ้าจะจัดหามาให้ท่าน"

มาณพนั้นจึงคิดว่า ตอนที่เราป่วยใกล้จะตาย พราหมณ์นี้ไม่ยอมเสียเงินค่ารักษาเราเลย แต่มาตอนนี้กลับบอกว่า จะเอาล้อเงิน ล้อทองมาให้ เราจะต้องสั่งสอนพราหมณ์นี้ให้รู้สำนึก จึงพูดว่า "ข้าพเจ้าต้องการดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ทั้งสองมาทำเป็นล้อ ท่านจะให้ได้หรือไม่" พราหมณ์จึงพูดว่า "ท่านอยากในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะตายเปล่า ช่างโง่เขลาเสียจริง"

มาณพจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าอยากได้ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏเห็นอยู่ แต่ท่านกลับต้องการ ในสิ่งที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ ระหว่างท่านกับข้าพเจ้าใครโง่เขลากว่ากันเล่า" แล้วจึงบอกพราหมณ์ให้รู้ว่า ตนคือมัฏฐกุณฑลี เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยบุญที่ทำใจให้เลื่อมใสในพระบรมศาสดา จึงแนะนำพราหมณ์ให้ถวายทานแด่พระพุทธองค์

พราหมณ์ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส ได้นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์เพื่อถวาย ภัตตาหารในวันรุ่งขึ้นตามคำแนะนำของเทพบุตร-ลูกชาย เมื่อพระบรมศาสดาฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว จึงได้ทูลถามพระบรมศาสดาว่า "จริงหรือที่บุคคลไม่เคยทำบุญมาเลยตลอดชีวิต แต่เพียงแค่ทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์ ตอนใกล้ตายเท่านั้น เมื่อตายแล้วได้ไปเสวยทิพพสมบัติบนสวรรค์"

พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "พราหมณ์ท่านถามเรื่องนี้กับเราทำไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลี ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่ท่านแล้วมิใช่หรือ" จากนั้นทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร มาปรากฏกายยืนยันถึงผลบุญพร้อมทั้งวิมาน แล้วทรงแสดงธรรม เมื่อจบพระธรรมเทศนา มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร และพราหมณ์บรรลุโสดาบัน ส่วนมหาชนทั้งหลายมี ดวงตาเห็นธรรมโดยถ้วนหน้า

อานิสงส์ที่เกิดจากการทำใจให้เลื่อมใส ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพียงอย่างเดียว ยังส่งผลมากถึงเพียงนี้ แล้วการมาสร้างองค์พระ ซึ่งเป็นรูปกายของพระพุทธองค์ด้วยใจที่เลื่อมใส จะได้บุญมากเพียงไร ไม่ต้องพูดถึงล่ะ จึงขอเชิญชวนท่านผู้มีบุญ มาสร้างพระธรรมกายประจำตัว เพื่อประดิษฐานภายในมหาธรรมกายเจดีย์ โดยพร้อมเพรียงกัน

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล