ฉบับที่ ๓๓ ประจำเดือนกรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

"อานุภาพของทิศ ๖" ตอนที่ ๔

 


เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)


            เมื่อครั้งที่แล้ว เราได้ศึกษากันว่า ๓ ทิศใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นทิศหลัก ได้แก่ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา และทิศเบื้องบนนั้น มีความสำคัญมาก เพราะคนเราจะมีนิสัยใจคอที่ดี มีความเก่งความดี มีความสุข ความเจริญ ก็ได้มาจาก ๓ ทิศหลักนี้ และหลวงพ่อได้พูดถึงหน้าที่ประจำของ ทิศเบื้องหน้า ว่าหน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก และหน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อแม่นั้น มีอะไรบ้าง วันนี้เรามาดูอีก ๒ ทิศหลักที่เหลือกัน

๒. ทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครูบาอาจารย์

หน้าที่ของศิษย์ที่มีต่อครู คือ
            ๑. ลุกขึ้นต้อนรับ
            ๒. เข้าไปคอยรับใช้ใกล้ชิด
            ๓. เชื่อฟังคำสั่งสอน
            ๔. ปรนนิบัติรับใช
            ๕. เรียนศิลปวิทยาด้วยความเคารพ

 

            หน้าที่ทั้ง ๕ ประการนี้ ลูกศิษย์ไม่รู้หรอก หรือถึงรู้ก็รู้ไม่หมด ถ้าพ่อแม่ไม่ได้สอนเอาไว้ก่อน ก็เป็นเรื่องหนักของครู แต่ถึงอย่างไรครูก็ต้องสอน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะได้ลูกศิษย์ที่เหลือขอกัน เต็มบ้านเต็มเมือง

             เพราะเมื่อตอนเป็นลูกศิษย์ครูไม่ได้สอนให้ดี พอลูกศิษย์มีลูก เขาก็เอาลูกมาฝากให้ครูสอนอีก ซึ่งลูกของเขาก็คงจะอาการหนักกว่าพ่อ หนักกว่าแม่แน่นอน


            หน้าที่ของครูที่มีต่อศิษย์ คือ

            ๑. แนะนำให้เป็นคนดี

            ถ้าคุณพ่อคุณแม่อบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดีมาจากบ้านแล้ว คุณครูก็เบาแรง หน้าที่นี้ก็จะกลายเป็นเรื่องของฝึกมารยาท ในการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนๆ จำนวนมาก เพราะอยู่ที่บ้านเคยมีแต่พี่ๆ น้องๆ ๒ - ๓ คนเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น ถ้าเด็กนิสัยไม่ดี ศีลธรรมย่ำแย่ จะโทษว่าเป็นความผิดครูเพียงลำพังก็ไม่ได้ ถ้าพ่อแม่ไม่ใส่ใจ แม้ครูจะสอนดีอย่างไร พอกลับไปถึงบ้าน

            แม่บอกว่า "ลูกเอ๊ย มาก็ดีแล้ว ช่วยถือไพ่ให้แม่ที แม่จะเข้าห้องน้ำก่อน"
หรือพ่อบอกว่า "ลูกเอ๊ย ไปซื้อเหล้ากับบุหรี่ ให้พ่อที เงินที่เหลือก็เป็นค่าขนมของเอ็งก็แล้วกัน" แค่นี้ก็แย่แล้ว

            ๒. ให้เรียนดี

            ๓. บอกความรู้ในศิลปวิทยาทุกอย่างด้วยดี ไม่หวงวิชา

            ๔. ยกย่องให้ปรากฏในหมู่เพื่อนฝูง

            ๕. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย คือ ชี้โทษซึ่งแฝงอยู่ในวิทยาการที่สอน

            ความรู้ทางด้านวิชาการ หากเกิดแก่คนพาล หรือคนที่มีศีลธรรมไม่พอ ย่อมนำความเดือดร้อนมาให้ เพราะเขาจะใช้ความรู้ที่มีไปในทางที่ผิด ที่เป็นอกุศล

            เพราะวิชาที่สอนล้วนมีข้อบกพร่องประจำวิชา เพราะฉะนั้นครูจึงต้องสอนวิธีที่จะใช้วิชาการอย่างถูกต้อง เพื่อเป็นการป้องกันให้แกด้วย

            เมื่อลูกศิษย์ทำหน้าที่ของตัวเองครบบริบูรณ์ทั้ง ๕ ข้อ ครูบาอาจารย์ก็ทำกลับไปอีก ๕ ข้อ ความดีระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ก็จะไหลเข้าหากัน ไม่มีความชั่วเข้ามาเจือปนเลย

            แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ศิษย์และอาจารย์ก็จะมีความไม่ดีอยู่ในตัว แล้วความไม่ดีของทั้ง ๒ ฝ่าย ก็จะไหลเข้าหากัน ซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อการศึกษาหาความรู้อย่างยิ่ง


            ๓. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณะ หรือว่าพระภิกษุผู้ทรงศีล

            หน้าที่ของญาติโยมที่มีต่อพระภิกษุ คือ

            ๑. ปฏิบัติต่อท่านด้วยจิตเมตตา

            ๒. พูดกับท่านด้วยจิตเมตตา

            ๓. คิดต่อท่านด้วยจิตเมตตา พูดง่ายๆ อย่าเสียเวลามาคอยจับผิดพระ เพราะพระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

            ประเภทที่ ๑ พระครูบาอาจารย์ คือ บวชถวายชีวิตแก่พระศาสนา ตั้งใจมาศึกษาหาความรู้ ตั้งใจมาอบรมบ่มนิสัยตัวเอง ตั้งใจจะถางทางไปพระนิพพาน เมื่อได้รับความรู้เท่าไร ก็นำกลับมาสอนให้กับญาติโยม

            ประเภทที่ ๒ พระนักเรียน คือพอเข้าพรรษาก็ลองมาบวชดู เผื่อจะมีอะไรดีบ้าง ถ้าดีก็อยู่ต่อ ถ้าไม่ดีก็สึก

            ๔. ให้การต้อนรับด้วยความเต็มใจ

            ๕. ถวายทานเป็นประจำ ชีวิตพระจริงๆ แล้ว คือชีวิตของครูสอนศีลธรรม ประเภทอาสาสมัคร ไม่มีเงินเดือน มีแต่ข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาถวาย เพราะฉะนั้นเช้าๆ ช่วยตื่นขึ้นมาตักบาตรกันด้วยนะ


            หน้าที่ของพระภิกษุที่มีต่อญาติโยม คือ

            ๑. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว

            ๒. ให้ทำแต่ความด

            จะเห็นว่าพระภิกษุกับพ่อแม่มีหน้าที่ ๒ ประการแรกเหมือนกัน คือ ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว และสอนให้ทำแต่ความดี เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า "พ่อแม่คือพระอรหันต์ในบ้าน"

            ๓. มีเมตตาอนุเคราะห์ญาติโยม

            ๔. เป็นครูสอนศีลธรรมให้กับชาวโลก

            ๕. อธิบายธรรมะให้แจ่มแจ้ง

            ๖. ชี้ทางสวรรค์ให้

            ถ้าพระภิกษุไม่ฝึกฝนตนเองให้ดีพอ จนกระทั่งรู้ว่า นรก สวรรค์เป็นอย่างไร ก็คงยากที่จะไปชี้ทางสวรรค์ให้กับญาติโยม ในเมื่อตัวเองยังไม่รู้ แล้วจะไปชี้ทางให้คนอื่นได้อย่างไร พระภิกษุจึงต้องมีหน้าที่เคี่ยวเข็ญตัวเองด้วย

            เพราะฉะนั้น ประชาชนชาวไทย เยาวชนไทย ครูไทย ควรท่องหน้าที่ประจำทิศที่ตัวเองจะต้องทำกับทิศทั้ง ๖ และทิศทั้ง ๖ จะต้องทำต่อตัวเองว่ามีอะไรบ้างให้ได้

            เมื่อท่องได้แล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ทำกันอย่างนี้เป็นประจำ เราก็จะได้พลเมืองประเภทที่มีหน้าตาแจ่มใส มีใบหน้าใสๆ ด้วยบ้าน ด้วยวัด ด้วยโรงเรียน คือใสด้วยพ่อแม่ ด้วยพระ ด้วยครู มองภาพตรงนี้ให้ชัด แล้วเราจะเข้าไปในโรงเรียนด้วยหน้าบานๆ ไม่ต้องหน้าหงิกหน้างอกับใคร ตอนเย็นออกจากโรงเรียน ทั้งลูกศิษย์ทั้งครูก็หน้าบานด้วยกันทุกคน

            พอมาถึงบ้านก็หน้าบานๆ ต้อนรับพ่อบ้าน แม่บ้าน ลูกบ้านของตัวเอง
วันโกน วันพระไปวัด ก็ไปด้วยหน้าบานๆ ไม่ใช่ชนิดไปถึงก็ หลวงพ่อขอหวยสักงวดหนึ่งเถอะŽ

            แต่ไม่ว่าจะเป็นครู เป็นพระ หรือเป็นพ่อแม่ก็ตาม ถ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ประจำทิศของตนให้สมบูรณ์ เดี๋ยวก็จะมีหน้าดำๆ เขี้ยวยาวๆ ใจขุ่นๆ อยู่ทั้งในโรงเรียน ทั้งในวัด ทั้งในบ้าน แล้วสังคมของเราจะวุ่นวายขนาดไหน ลองไปนึกดูก็แล้วกัน

            แน่นอนใครๆ ก็อยากได้หน้าบานๆ ใจใสๆ ด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าความสำเร็จนี้ ไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง ต้องอยู่ที่ครูทั้งแผ่นดิน พระทั้งแผ่นดิน และพ่อแม่ทั้งแผ่นดิน ร่วมมือกันทำ

            เป็นอันว่าหน้าที่ประจำของแต่ละทิศ ครึ่งหนึ่งเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่น อีกครึ่งหนึ่งเป็นหน้าที่ของผู้อื่นที่ต้องปฏิบัติต่อเรา

            ในเวลาเดียวกัน พอเราเปลี่ยนหน้าที่จากลูกมาเป็นพ่อแม่ จากศิษย์มาเป็นครู จากญาติโยมมาเป็นพระภิกษุ หน้าที่ที่เมื่อก่อนไม่ต้องทำ วันนี้ต้องทำเสียแล้ว ผลสุดท้ายก็คงจะต้องทำหน้าที่ทั้งหมดนั้น

            เพราะฉะนั้น แผ่นดินไทยของเราจะเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อม จะสงบสุขหรือวุ่นวาย จะแบ่งแยกดินแดนหรือเชื่อมประสานเป็นขวานทองเหมือนเดิม ก็อยู่ที่ ๓ ทิศหลัก คือ บ้าน วัด โรงเรียนนี่เอง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล