ฉบับที่ ๓๔ ประจำเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๘

" SUPER MONK " สร้างวัด สร้างคน ให้รุ่งเรือง"

 



สำหรับท่านใดต้องการนำเสนอข้อมูลดีๆเกี่ยวกับพุทธบุตร สามารถติดต่อมาได้ที่หมายเลข ๐-๑๔๘๑-๗๗๗๘ หรือส่งผ่านอีเมล์มาที่ [email protected]ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านล่วงหน้าครับ

 

 

             กราบนมัสการพระคุณเจ้า และสามเณร ที่เคารพ สวัสดีครับกัลยาณมิตรทุกท่าน เมื่อฉบับที่แล้ว ทุกท่านคง ได้ปีติไปกับเรื่องราว ของพระราชสิทธาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัด เชียงใหม่ พระผู้สร้าง วัดร้างให้กลับมา รุ่งเรือง ถึงจำนวน ๕ วัดด้วยกัน และท่านยังมี มโนปณิธาน อีกว่า ต้องทำให้วัดร้าง ทุกวัดในจังหวัด เชียงใหม่ กลับมารุ่งเรืองให้ได้ ฟังแล้วต้อง บอกว่าขนลุก ปลื้มใจไป ตามๆ กัน นับแต่นี้ไปพระพุทธศาสนา ต้องมีความเจริญ รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยดวงใจ ของพุทธบุตร ผู้ถวายชีวิตแล้ว ในพระพุทธศาสนา

             ในฉบับนี้ผมจะนำ ทุกท่านไปพบกับ ความสง่างาม แห่งบุตรของพระชินสีห์ ที่ดำเนินชีวิตสมณะ ด้วยความอดทน ทุกรูปแบบ สร้างวัดท่ามกลาง ความไม่พร้อมทุกด้าน แต่ด้วยดวงใจ เยี่ยงพระโพธิสัตว์ ที่คิดทำสิ่งใด แล้วต้องทำให้สำเร็จ ท่านจึงสามารถ มอบความรุ่งเรือง แห่งศาสนสถาน และศาสนธรรม กลับคืนมาให้แก่พุทธบริษัท ๔ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

             ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนตกอยู่ในห้วงแห่งทะเลทุกข์ ต้องพานพบอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต หากบุคคลใดปรารถนาจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้นั้น ต้องมีใจที่เปี่ยมพลัง เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นในปณิธาน

             ณ บุญสถาน ปากอ่าวทะเลไทย ฝั่งแม่น้ำท่าจีน ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร มีบุตรแห่งพระชินสีห์รูปหนึ่ง ผู้หยัดสู้กับ กระแสความ ไม่เข้าใจจากกลุ่มบุคคล บางคนที่ คิดมุ่งร้ายทำลายท่าน ซึ่งท่านมีนาม ตามสมณศักดิ์ว่า พระครูอุทัยธรรมสาคร เจ้าคณะตำบลท่าฉลอม เจ้าอาวาสวัด บางหญ้าแพรก หรือที่เหล่า ศิษยานุศิษย์ผู้คุ้นเคย มักจะเรียกท่านว่าหลวงพ่อมาลัย หลวงพ่อมาลัยเป็นพระ ที่แน่วแนต่อหนทาง พระนิพพาน ท่านทำหน้าท ี่ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ด้วยความทุ่มเท เสียสละ เปี่ยมด้วย ความเมตตาธรรม ดำเนินชีวิตด้วย ขันติธรรม ได้พัฒนาวัด ที่ในอดีตรกร้าง จนรุ่งเรืองในปัจจุบัน ท่ามกลางมรสุม ของบุคคลผู้ไม่เข้าใจ

             ชาวบ้านที่ถือกำเนิดและอาศัย ในพื้นที่ตำบล ท่าฉลอม แห่งนี้ เล่าให้ฟังว่า "หลวงพ่อท่าน โดนหลายหน ไปฉันที่บ้านก็โดนกระดูกไก่ขว้างหัว บางทีเอาอุจจาระแห้ง ของหมาใส่บาตรก็มี มีอยู่ครั้งหนึ่งถึง กับเอาระเบิดมาวาง แต่ตอนหลังๆ ก็มาขอขมา เพราะถ้าไม่มาขอขมา ก็จะมีอันเป็นไปต่างๆ นานามากมาย เช่นปากง่อย ต้องเอาธูปเทียนแพมาขอขมา ลาโทษ ถึงหาย" หลวงพ่อเล่าเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับท่านให้ฟังว่า " บางคืนมาจุดประทัดไล่ วางระเบิดกุฏิพังเป็นแถบ ชาวบ้านนึกว่าอาตมาตายแล้ว แต่อาตมาไม่เป็นอะไร "

             แม้จะพบอุปสรรคนานัปการ แต่หลวงพ่อมาลัย ยังคงมุ่งหน้า พัฒนาวัด ซึ่งเดิมมีสภาพ ทรุดโทรม ใกล้ร้างน้ำท่วมถึง มาเป็นวัดบางหญ้าแพรก อันงดงามสง่า เช่นในปัจจุบัน หลวงพ่อได้เมตตา เล่าสภาพ ของวัดครั้งแรก ที่ท่านได้พบเจอว่า "เมื่อก่อนวัด แห่งนี้มีแต่ป่ารก ไม่มีอะไร มีแต่กุฏิพังๆ สัก ๕ หลัง สภาพเดิมเป็นป่า มีแต่หญ้าเต็มวัด มีกุฏิไม้เล็กๆ ไม่ทน ถ้าจะอยู่ก็หวาดเสียว ว่าจะพังลงมา ตามโบสถ์หญ้า ก็รกปกคลุมมาก "

             พระมหาสุริยนต์ จกฺกวโร อุปัฏฐาก กล่าวถึงการสร้างวัดของหลวงพ่อว่า " ท่านสร้างวัดขึ้นมา ชักชวนพระขนทรายเอง โยมก็ช่วยกันเท ส่วนตัวท่านขายที่ดินมา สร้างวัด ช่วง ๒ และ ๓ ปีหลังน้ำท่วมมาก หลวงพ่อท่านมองการณ์ไกล เอาทรายมาถมให้สูง ชาวบ้านก็ด่าท่านอีกหาว่าทำให้แฉะ บ้าทำอะไรก็ไม่รู้ ถูกต่อต้าน แต่ท่านเป็นคนทำจริง เงินทุกบาททุกสตางค์ หลวงพ่อนำมาสร้างหมด ไม่เคยเก็บไว้เพื่อ ส่วนตัวเลย วัดจึงพัฒนาและรุ่งเรืองขึ้น "

             จากการอุทิศตนทำงานเพื่อพระศาสนา ทำให้ท่านมีเวลาพักผ่อนน้อย พร้อมๆ กับการสร้างวัด หลวงพ่อมาลัยท่าน ยังได้แสดงพระธรรมเทศนาโปรดสาธุชน ในวัดผ่านหอกระจายข่าว และออกอากาศ ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์เป็น ประจำ กระทั่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่าน อาพาธและไม่สามารถเทศนาออกอากาศ ได้ดังเดิม แต่อย่างไรก็ตามท่าน ยังคงเมตตาอบรม พระภิกษุ สามเณร นักเรียน ประชาชน เป็นประจำอยู่ที่วัด

             พระมหาสุริยนต์ จกฺกวโร เล่าให้ฟังเกี่ยวกับ แรงบันดาลใจ ในการบวชของ ตัวท่านเองว่า " อาตมา ที่บวชได้นาน ยอมรับเลยว่า เป็นเพราะหลวงพ่อท่านช่วย สมัยพรรษาแรกยังเป็นพระหนุ่มอยู่ ก็อยากสึกออก ไปเหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ให้สึก ให้เรียน ศึกษาคำสอน ในพระพุทธศาสนา จนสอบได้เปรียญธรรม มีชีวิต นักบวช ทุกวันนี้ได้ก็เพราะหลวงพ่อ ท่านมีเมตตามากๆ เด็กนักเรียน ไม่มีเงิน ท่านก็ให้ ใครไม่มี กินท่านก็ให้ มีอะไรท่านให้หมด แจกทุนการศึกษาทุกปี และจะให้ นักเรียนมาวัด จะสอนนักเรียนเอง ที่ให้ครูนักเรียน มาที่วัด เพราะอยาก ให้นักเรียน และครูคุ้นเคย กับวัด"

             วัดแห่งนี้ในทุกยาม ค่ำของวันพระ จะมีสาธุชน ผู้มีบุญใส่ชุดขาว มารักษาศีล สวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา แผ่เมตตา อยู่เป็นประจำ ต่อเนื่องไม่ขาด ทำมากว่า ๔ ปีแล้ว แม้หลวงพ่อ มาลัยท่าน จะมีภารกิจ หลายๆ ด้านมาก เพียงใด ท่านก็ยังเมตตา นำสาธุชน ทำกิจกรรม ดังกล่าว ด้วยตัว ของท่านเองเสมอ ท่านพูดเปิดใจ ถึงกิจกรรมนี้ว่า

             " รสใดจะสู้รสพระธรรมนั้นไม่มี รสมันมี หลายรส รสพระธรรมเป็นรสที่ลืมไม่ลง บางคนที่ไม่ได้มา ในคืนไหนก็จะบ่นเสียดาย ถ้าคนไม่ซาบซึ้งตรงนี้เขาคงไม่พูดเช่นนั้น เวลาที่เหลือนี้คิดว่า จะส่งเสริม ให้คนใส่ชุดสีขาว ในวันพระ ใครเห็น เขาจะได้รู้ว่าวันนี้วันพระ ตอนนี้อาตมาแจกไป ๕๐ กว่าตัวแล้ว และจะแจกไปเรื่อยๆ "

             ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๑ ถึง พ.ศ.๒๕๔๒ ที่วัดพระธรรมกายเกิดวิกฤติการณ์จากสื่อต่างๆ นำเสนอข่าวบิดเบือนไปจากความเป็นจริง หลวงพ่อ มาลัยท่านเป็นพุทธบุตรรูปแรกในจังหวัดสมุทรสาคร ที่ยืนหยัดที่จะมาร่วมทุกงานบุญของวัดพระธรรมกาย ท่านได้เล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้ฟังว่า " สมัยนั้นมีคนห้าม ไม่ให้อาตมาไปวัดพระธรรมกาย อาตมาคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ เห็นเขาทำดี ต้องไปให้กำลังใจอาตมาไม่ได้เห็น แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เห็นแก่บุคคลใดก็ได้ที่เขาทำดี อาตมาไปตั้งแต่ชุดแรกเมื่อเกิดข่าว ศาสนาพุทธจริงๆ เราต้อง ช่วยกันสุดกำลัง ถ้าไม่ช่วยกันไม่แน่ว่าอีก ๑๐๐ ปี จะมีชาวพุทธเหลืออีกหรือเปล่า วัดพระธรรมกาย เขาสร้างคนดีปีละมากๆ อาตมาไปมา ๑๐ กว่าครั้งแล้ว หลวงพ่อธัมมชโยท่านเป็นเลิศจริงๆ ท่านสร้างคนให้เป็นคนดีจริง สร้างวัดเพื่อทุกคนในโลก ใจท่านยิ่งใหญ่ จะมีใครบ้างทำได้อย่างท่าน ดังนั้นใครจะพูดตามข่าวอย่างไร เราควรเชื่อในความคิดของเราเองว่าเขาทำดีอย่างไรที่ใครๆ ก็ทำได้ยาก เขาดีจริง และในปัจจุบันที่มีสื่อดาวธรรมเกิดขึ้น เป็นประโยชน์มาก อาตมาชอบดูหลวงพ่อธัมมชโย ตอบแก้ไขปัญหาชีวิตของคนที่ถามมา ท่านมีน้ำเสียงที่น่าฟัง น่าเลื่อมใส ขอแสดงความชื่นชม ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งแก่คน ทั้งโลกตลอดไป "


      ณ ดินแดนอันแสนทุรกันดาร ที่แม้แต่การประกอบกสิกรรมใดๆ แทบจะไม่ได้ผล เนื่องจากดินเปรี้ยว หนทางที่จะติดต่อกับตัวเมือง ต้องอาศัยการเดินเท้ากว่า ๒ วัน หรือโดยสารทางเรือ ในแม่น้ำที่มี จระเข้อาศัยอยู่ เป็นสถานที่ที่ใครๆ ไม่คิดอยากมาอยู่อาศัย

             แต่ ณ ที่แห่งนี้ กลับมีพุทธบุตร ผู้เปี่ยมล้น
ด้วยขันติธรรม และเมตตาธรรม อุทิศตนอาสา มาพัฒนาวัดร้างให้ กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง ท่านมีนามว่า พระครูพิศิษฏ์กิจจาธร เจ้าอาวาส วัดเตยน้อย เจ้าคณะตำบล บางลูกเสือ จังหวัดนครนายก หลวงพ่อท่าน ได้เข้ามา ศึกษาคำสอน ของพระพุทธศาสนา ในเพศสมณะรวมแล้วขณะนี้ย่าง ๔๙ พรรษา

             คุณลุงสายศักดิ์ สิทธิธรรม ไวยาวัจกรวัด เล่าให้ฟังว่า " วัดแห่งนี้ก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๒ มีสภาพ เป็นที่รกร้างว่างเปล่าปกคลุมด้วยป่ารกชัฏ ทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่ดุร้าย ไม่มีถนนหนทาง ไฟฟ้าก็ไม่มี หมู่บ้านแถวนี้ลำบากมากๆ การปลูกพืชไม่ได้ผลเพราะดินเปรี้ยว ข้าวก็ปลูกไม่ขึ้น ถึงเวลาหน้าน้ำน้ำก็ท่วม ถึงเวลาหน้าแล้งก็แล้งสุดๆ ดินก็อุ้มน้ำไม่อยู่ มีการสำรวจดินพบว่า ดินบริเวณนี้เป็นดิน ที่เลวที่สุดในประเทศไทย ใครที่มาทำมาหากินเขาก็หนีกันหมด เพราะที่มันดอน ทำนาก็ไม่ได ้"

             หลวงพ่อเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า "เมื่อก่อนเป็น ที่อาศัยของสัตว์ใหญ่ สัตว์ร้ายหลายชนิด เช่น ช้าง เสือป่า งูเห่า ตอน ๓ ทุ่มก็ได้ยินเสียงร้องแล้ว อาตมาก็หวาดเสียวเหมือนกัน"

            คุณยายสุด สมบูรณ์ หลานผู้ถวายที่ดินให้วัด เล่าว่า " ตอนแรกวัดนี้ร้าง ไม่มีพระ และมีศาลาหลังเดียว โบสถ์ อาคารต่างๆ ก็ไม่มี หลวงพ่อรูปนี้บวชได้พรรษาเดียว ก็มาสร้างทันที ท่านทำของท่านมาเรื่อย พระก็มาอยู่พรรษามากขึ้น "


             เนื่องจากวัดและชุมชน แห่งนี้ตั้งอยู่ ในพื้นที่ปลายสุดของ จังหวัดนครนายก ดังนั้นการคมนาคม เป็นไปด้วยความลำบาก โดยทางบกนั้นต้องอาศัยคันคูน้ำ ของชลประทานเป็นถนน ซึ่งแทบจะทุกปีที่พื้นที่แห่งนี้ ประสบภาวะน้ำท่วมและสะพาน ที่อาศัยข้ามแม่น้ำนครนายก นั้นเป็นสะพานไม้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ลำบากมาก แต่ด้วยความเมตตา ของหลวงพ่อท่าน จึงเดินทางไปติดต่อ หน่วยราชการหลายๆ ครั้งให้มาช่วยเหลือชาวบ้าน

             พระเดชพระคุณพระวิสุทธิโสภณ เจ้าคณะจังหวัดนครนายก ได้กล่าวถึงหลวงพ่อวัดเตยน้อยแห่งนี้ว่า " เมื่อก่อนวัดนี้เป็นที่ทุรกันดารมากของจังหวัด แต่ท่านสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มาได้ พัฒนาวัด ทำถนนหนทาง ทำสะพานข้ามแม่น้ำนครนายก และทำเขื่อนหน้าวัด ป้องกันไม่ให้ดินหน้าวัดพังทลายได้ดีมาก "

             คุณสุรเดช โท้ประยูร สมาชิกสภาจังหวัดนครนายก เล่าให้ฟังว่า " ถนนเข้าหมู่บ้าน หลวงพ่อท่านเป็นพระรูปแรกที่ทำให้เกิดขึ้น ถนนตรงนี้ท่านคุมงานเองเลยนะเพราะมันมีปัญหามาก สถานีอนามัย สถานีตำรวจ สะพาน ท่านก็หามาให้ ท่านบริจาคที่ดินส่วนตัว ให้สร้างสำนักงานองค์ การบริหารส่วนตำบล และดำเนินการติดต่อไฟฟ้าให้กับชุมชนในแถบนี้ ท่ามกลางกระแสของ การช่วงชิงผลประโยชน์ ความตั้งใจของท่านนั้นมีให้ต่อส่วนรวม ผมถือว่าน้อยคนนัก ที่มีความตั้งใจ และเสียสละอย่างนี้ ชาวบ้านแถวนี้มีขวัญกำลังใจขึ้นมากๆ ท่านช่วยเหลือให้ มีความสะดวก ครอบคลุมไปถึง ๑๑ หมู่บ้าน"

             พื้นที่ของวัดแห่งนี้ตั้ง อยู่ท่ามกลางชุมชน พี่น้อง ๓ ศาสนิก คือ ฝั่งด้านซ้าย เป็นที่อยู่อาศัย ของพี่น้องที่นับ ถือศาสนาคริสต์ ส่วนฝั่งด้านขวา นับถือศาสนาอิสลาม ชาวพุทธอยู่ตรงกลาง แม้จะต่างกัน ที่ความเชื่อ แต่วัดแห่งนี้โดย การนำของหลวงพ่อ ท่านเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่พึ่ง ให้แก่ญาติโยม ทุกศาสนิก ด้วยอาศัยธรรมะ แห่งองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

             "ตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้น บวชได้ประมาณ ๑ พรรษา ก็มาสร้างมาพัฒนา วัดนี้เลยมีการขู่ฆ่า ทำร้ายต่างๆ นานาจากผู้มีอิทธิพลศาสนิกอื่น เขาต้องการขับไล่ให้ออกไปจากพื้นที่ พระรูปใดมาอยู่ที่นี่ ก็มักอยู่ไม่ได้นาน วัดจึงร้างไป เวลาฉันภัตตาหารก็ต้องระมัดระวังมาก เพราะช่วงนั้นมีการวางยาบ่อยมาก อาตมาต้องอดทนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาตมาก็ได้แสดงออกถึง ความตั้งใจจริงในการมาบวช ทำงานพระศาสนา ศาสนิกอื่นๆ ก็เริ่มยอมรับและอยู่ร่วมกันได้ ตอนนี้เมื่อเขามีอะไร ไม่สบายใจ สบายกาย ก็มาพึ่งพา อย่างถูกงูกัดเขาก็มาให้อาตมาช่วยเหลือ ดึกดื่นเที่ยงคืน เขาก็มาให้ช่วย ให้เขารอดปลอดภัย เราช่วยเอาบุญไม่หวังเอาคุณ บางคนมาบอกอาตมาว่า ตัวเขาโดนคนที่ไม่เข้าใจ ห้ามไม่ให้มาคบกับพระ เขาก็ตอบไปว่า หลวงพ่อท่านไม่ดี ตรงไหน ท่านช่วยสร้างโน่นสร้างนี่ให้พวกเรา ท่านทำดีทุกอย่าง ดึกๆ ดื่นๆ ท่านก็ยังทำงานคุมงานก่อสร้าง และศาสนาพุทธสอนให้รู้แจ้ง เห็นจริง เขาว่าอย่างนั้น เขาดูเหมือนสับสน ว่าเขาควรทำอย่างไรดี "

             อาจารย์ประชุม เสน่หา ผู้อำนวยการโรงเรียนคลอง ๒๔ ได้กล่าวถึงหลวงพ่อว่า "ท่านมีแต่การให้ ให้ทุกศาสนา ที่มาหาท่าน ท่านช่วยทั้งนั้น โรงเรียนท่านก็ช่วยสร้างให้ ช่วยอบรม ศีลธรรมให้นักเรียน อาหารกลางวันท่าน ก็ให้การสนับสนุนมาตลอด ท่านมีเมตตามากๆ"พร้อมๆ ไปกับการพัฒนาวัด พัฒนาพื้นที่ หลวงพ่อท่านให้ความสำคัญ กับการพัฒนาบุคคล นอกเหนือจากการจัดตั้งโรงเรียน และให้การอบรมนักเรียนแล้ว ท่านยังจัดอบรม ส่งเสริมการศึกษาพระธรรมแก่พระภิกษุ สามเณร จนกระทั่งวัดแห่งนี้มี ผลการสอบที่ดีมาก ของอำเภอองครักษ์ ในจังหวัดนครนายก

             หลวงพ่อท่านเป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่ง ที่ติดตาม ชมจานดาวธรรม ช่อง DMC มาตลอด
ท่านได้ปรารภเรื่องนี้ว่า "น่าภูมิใจที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย ท่านได้สร้างวัด และสร้างสื่อ ที่ดีนี้อยู่ในเมืองไทย อยู่ในบ้านในเมืองของเราให้ผู้คนได้พบเห็นแสงสว่าง ได้ปฏิบัติธรรม คนไม่ดี คนติดยาเสพติดต่างๆ ก็เลิกได้ เกิดคนดีขึ้นมากมายเป็นล้านๆ คน ท่านทำไว้เพื่อประเทศชาติ และศาสนา นับว่าได้ช่วยแบ่งเบา ภาระของรัฐบาลไม่ใช่น้อยเลย เวลาอาตมาไปวัดพระธรรมกาย ก็จะเอาพระไปทั้งหมด มีเท่าไรก็ชวนกันไป ส่วนญาติโยมก็นั่งรถบัสไปด้วย เพื่อให้มีโอกาสได้ศึกษาสิ่งดีๆ เหล่านี้ ก็ขออนุโมทนากับ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโยด้วย ขอให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นที่พึ่งพา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรทางจิตใจ ของปวงชนทั้งหลายสืบต่อไป"

             แม้จะได้รับมอบหมาย ให้มาอยู่ในพื้นที่ ที่แสนทุรกันดาร รอบล้อมด้วย พี่น้องผองไทย
ที่มีความเชื่อ ที่หลากหลาย ต้องพานพบอุปสรรคนานัปการ แต่ด้วยความหยัดสู้ ทุ่มเทชีวิตจิตใจของ พระแท้รูปนี้ จึงสามารถพลิกฟื้นวัดที่เคย ร้างให้กลับมารุ่งเรือง เป็นแหล่งเนื้อนาบุญ ของพุทธบริษัท ๔ ได้อีกครั้ง ขอกราบอนุโมทนาบุญกับ พระครูพิศิษฏ์กิจจาธร ที่ท่านได้หยัดสู้ ทำหน้าที่พุทธบุตร อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เป็นขวัญกำลังใจ ของพุทธบริษัท ๔

             ภาพของพุทธบุตรที่หยัดสู้ ยอยกพระพุทธศาสนาให้สูงเด่น พร้อมอุทิศตนโดย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ภาพที่งดงามเช่นนี้ จะเกิดเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญที่ทำให้พุทธบริษัท ๔ ที่ได้พบเห็นมาช่วยกัน ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ไม่ให้มีวัดร้างหลงเหลืออยู่เลยในยุคนี้ และยุคต่อๆ ไป สมดังคำของ พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หลวงพ่อธัมมชโย ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า "พุทธบริษัท ๔ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว"


บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล