อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

พระมหาสิริราชธาตุ รุ่นดูดทรัพย์ สำหรับ ผู้สร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์นั้น จะได้รับของที่ระลึกเป็นพระธรรมกายของขวัญ

อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ เรื่องที่ ๔๓๐ เบื้องหลัง...ความตาย

เรื่องที่ ๔๓๐ เบื้องหลัง...ความตาย
จะมีใครบ้างที่จะรู้ว่า ชีวิตหลังความตาย เมื่อละสังขารแล้วจะน่ากลัวขนาดไหน


 

 
 
คุณเด่นพงษ์และคุณสุนิดา ชาวงษ์ สองสามีภรรยา
ผู้ยึดถือพระรัตนตรัยในการดำเนินชีวิต
 
 

"แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมพัดพาเอาต้นไม้ริมฝั่งไปด้วยฉันใด สัตว์โลกทั้งปวงก็ถูกความแก่ และความตายพัดพาไปฉันนั้น" สัจธรรมนี้จะอธิบายถึงเรื่องราวที่ คุณเด่นพงษ์และคุณสุนิดา ชาวงษ์ สองสามีภรรยาได้เล่าให้ฟังถึงวาระสุดท้ายของชีวิตคุณพ่อของคนทั้งสอง และต้องการให้ทุกคนได้รับรู้รับทราบว่าชีวิตคนเราย่อมไม่แน่นอน ย่อมพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจด้วยกันทั้งสิ้น แต่บั้นปลายชีวิตที่ว่าไปสว่างนั้นเป็นอย่างไร อะไรคือสุคติ และอะไรคือทุคติ
ทุกชีวิตในโลกนี้ที่เราพบเจอกันทุกวัน ต่างมีความสุข-ความทุกข์ ดีใจ-เสียใจ เป็นเหมือนวงเวียนที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่จะมีใครบ้างที่จะรู้ว่าชีวิตหลังความตาย เมื่อละสังขารแล้ว จะน่ากลัวขนาดไหน เพราะเมื่อถึงวาระนั้นก็ไม่มีโอกาสจะบอกใครได้เลย

 
คุณพ่อทอง ชาวงษ์
ขณะมีชีวิต หมั่นบำเพ็ญบุญกุศล
 

คุณเด่นพงษ์เล่าว่า คุณพ่อทอง ชาวงษ์ เป็นคนบ้านน้ำอ้อม อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด มีบุตรด้วยกัน ๘ คน มีอาชีพทำนา คุณพ่อเคยมาร่วมงานบุญใหญ่ที่วัดพระธรรมกาย ๒ ครั้ง ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ ก่อนที่ท่านจะป่วยหนัก เป็นโรคมะเร็งซึ่งแพร่กระจายจากตับลุกลามมาถึงสมอง และเป็นเนื้องอกที่สมองซีกขวาโตขนาด ๓.๒ ซ.ม. ก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆ ทับเส้นประสาทจนทำให้เดินไม่ไหว และแขนขยับไม่ได้ คุณพ่ออาการหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่อาการไม่ดีขึ้น คุณเด่นพงษ์จึงรับตัวท่านมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คุณพ่อเจ็บป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดทรมานทางร่างกายเลย แปลกมากนะครับ เพราะปกติคนป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ระยะสุดท้ายจะเจ็บปวดทรมานที่สุดในชีวิต คุณเด่นพงษ์พยายามถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่ารายอื่นที่เป็นโรคมะเร็งนั้นเจ็บปวดทุกรายจริงหรือ ซึ่งคุณหมอก็ยืนยันว่าจริง


เขาจึงนึกทบทวนดูก็รู้ว่า คุณพ่อท่านประพฤติปฏิบัติตัวอยู่ในบุญตลอดชีวิตของท่าน คุณเด่นพงษ์เล่าถึงชีวิตส่วนตัวที่เขาได้ใกล้ชิดสัมผัสกับคุณพ่อ กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า คุณพ่อเคยบวชเรียนมาประมาณ ๓ พรรษา ถึงแม้จะกลับมาใช้ชีวิตทางโลกก็ยังประกอบกุศลอยู่เสมอ คุณพ่อเป็นคนขยันทำงาน ชอบสันโดษ ใจเย็น ไม่ชอบนินทาว่าร้ายใคร ไม่เอาเปรียบคนอื่น ท่านส่งเสียให้ลูกๆ ทุกคนให้ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนเท่าเทียมกันทุกคน คุณพ่อไม่เคยขัดข้องเรื่องการทำบุญ และจะอนุโมทนาบุญทุกครั้งเวลาคุณแม่และลูกๆ ร่วมกันทำบุญ ไม่ว่าจะเป็นบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว หรือบุญอื่นๆ ท่านไม่เคยขัดศรัทธาเลย ท่านเคยมาวัดพระธรรมกาย ๒ ครั้ง ครั้งสุดท้ายท่านได้มาร่วมงานมาฆบูชา ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ได้จุดมาฆประทีปร่วมกับลูกๆ ด้วยความเบิกบานใจ


ในขณะที่ท่านป่วยอยู่นั้น ท่านอยู่ในบุญตลอด หมั่นสวดมนต์ สวดสรรเสริญคุณพระมหาสิริราชธาตุ และนั่งสมาธิทุกวันไม่เคยขาด โดยมีพี่สาวคือ คุณจันทร์เพ็ญ ชาวงษ์ เป็นกัลยาณมิตรในการทำความดี ชวนร่วมงานบุญที่วัดพระธรรมกาย และคอยดูแลท่านอยู่ไม่ห่าง เมื่อท่านมีอาการทรุดหนักต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านจะเปิดเทปธรรมะของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย และเทปที่ท่านฟังบ่อยที่สุดช่วงที่ป่วยหนักคือเทปธรรมะ "ศึกชิงภพ" ที่เทศน์โดยหลวงพ่อทัตตชีโว รวมทั้งบทสวดพระมหาสิริราชธาตุ ทุกเช้าเวลาตื่นนอนตอน ๖ โมงเช้า ท่านจะสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยทุกวันไม่เคยขาด ถึงแม้สังขารจะไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก แต่จิตใจนั้นเปี่ยมไปด้วยความสงบ และความสุขอยู่ภายใน

 
  ขณะที่คุณพ่อทอง ชาวงษ์ สิ้นลม ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น เห็นก้อนกลมๆ ม้วนตัวเป็นคลื่นจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  

คุณเด่นพงษ์บอกว่า "ช่วงที่คุณพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ท่านไม่ได้มีอาการเจ็บปวดทรมานแต่อย่างใด เฉยๆ นิ่งๆ ทานข้าวได้บ้าง และหน้าตาผ่องใสเป็นสีชมพู จนคุณหมอบอกว่า ไม่น่าเชื่อว่าคนไข้ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย"


คุณสุนิดาพูดเสริมขึ้นว่า "แตกต่างจากคุณพ่อของพี่มากนะคะ คุณพ่อ (ประสิทธิ์ ภิญโญรัตนโชติ) ป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ท่านทรมานมาก ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นเวลาเกือบปีก่อนเสียชีวิต ท่านจะร้องโหยหวล บ่งบอกอาการที่ทรมานที่สุดในชีวิต ร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โดยมีคุณแม่คอยดูแลจนมือชาไปหมด คุณพ่อเพ้อตลอดเลยค่ะ ร้องครวญครางสลับกับเสียงตะโกนออกจากปากว่า ไปๆ เสียงดังลั่นห้อง บางครั้งก็เพ้อว่า ไล่มันไปหน่อย มันจะมาเอาพ่อไป ร้องส่งเสียงเอะอะโวยวาย ถ้าใครไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์นี้มาก่อนคงตกใจมากเลย คุณพ่อเสียชีวิตด้วยความทรมาน ส่งเสียงร้องคราง และสิ้นใจไปอย่างน่าทุกขเวทนา" คุณสุนิดาบอกว่าเธอเสียใจมากที่ไม่ทันพาท่านมาเก็บเกี่ยวบุญที่วัดพระธรรมกาย ก่อนที่ท่านจะละโลกนี้ไป "พี่เสียใจจริงๆ ว่า ท่านน่าจะเจอวัดพระธรรมกายก่อนที่ท่านจะตาย ท่านจะได้สร้างพระเพื่อเติมบุญและบารมีให้ตัวเองก่อน และละโลกแบบไปดี" เธอพูดพร้อมกับนึกเสียดาย แต่สายน้ำย่อมไม่ไหลย้อนกลับ เช่นเดียวกับเวลาที่ไม่สามารถ หวนกลับคืนมาได้

คุณเด่นพงษ์และคุณสุนิดา พูดต่อถึงเหตุการณ์วันที่คุณพ่อทองสิ้นใจอย่างตื่นเต้นว่า ตอนที่ท่านมีอาการทรุดลงมากได้พาท่านกลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ตอนนั้น อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่านก็อยู่ในบุญ จิตใจเกาะเกี่ยวในพระรัตนตรัยเสมอ มีสติสัมปชัญญะครบบริบูรณ์ ท่านยังเล่าให้ลูกๆ ฟังว่า ตอนที่ท่านพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ท่านฝันเห็นหลวงพ่อสดวัดปากน้ำนั่งเกวียนผ่านมา จึงนิมนต์ถามท่านว่า "หลวงพ่อจะไปไหน" หลวงพ่อตอบว่า "มาโปรดสัตว์" แล้วคุณพ่อก็สะดุ้งตื่น และครั้งสุดท้าย ตอนที่ท่านย้ายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำอำเภอปทุมรัตน์ ลูกที่เฝ้าคุณพ่ออยู่ต้องตกใจกันกลางดึก เมื่อคุณพ่อพูดขึ้นมาว่า "หลวงพ่อสดเดินมาแล้วๆ ลูกๆ เอารถไปส่งท่านด้วยนะ" ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์มองหน้ากันอย่างฉงน เพราะพวกเขามองไม่เห็นหลวงพ่อ คุณพ่อยกมือพนมสาธุ และกล่าวคำว่า "สัมมา อะระหัง" ๓ จบ เสร็จแล้วก็บอกลูกว่า จะกลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย ท่านอยากกลับบ้าน ลูกๆ จึงพาคุณพ่อกลับบ้านในคืนนั้น ตามที่ท่านปรารถนา


ก่อนที่คุณพ่อทองจะจากไป คุณเด่นพงษ์และคุณสุนิดา ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ พอรู้ข่าวก็รีบเดินทางไปในเย็นวันนั้นโดยรถทัวร์ เพื่อทันเห็นใจคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เขาและภรรยาช่วยกันอธิษฐานจิตสวดอ้อนวอนพระมหาสิริราชธาตุขอให้ไปทันเห็นใจคุณพ่อด้วย

 
  เมื่อก่อนกินเหล้าเมายาสารพัด หลังจากที่เข้าวัดมาปฏิบัติธรรม เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนใครๆ ก็อัศจรรย์ใจ  

เมื่อไปถึงบ้านที่จังหวัดร้อยเอ็ด ทุกคนเตรียมตัวกันพร้อม และนิมนต์พระลูกชายที่บวชอยู่ที่วัดในจังหวัดพร้อมพระอีก ๒ รูป จัดเตรียมขันดอกไม้บูชาขอศีลจากท่าน คุณพ่อมีสติดีมาก เมื่อทุกคนมาถึงญาติๆ ก็จะบอกว่าใครมาบ้าง ท่านก็จะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ และขันดอกไม้พร้อมธูปเทียนที่จัดเตรียมไว้แล้วก็ถูกยกมาเพื่อให้คนป่วยขอศีล คุณพ่อกะพริบตาถี่ๆ เหมือนกับจะส่งสัญญาณว่าพ่อจะไปแล้วนะ พอคุณพ่อรับศีลเสร็จก็หลับไปด้วยอาการที่สงบ

ทันทีที่หมดลมหายใจ ในวินาทีนั้นทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แทบไม่เคลื่อนสายตาไปจากท่าน จ้องมองไปที่ร่างไร้วิญญาณ ทุกคนเห็นด้วยตาตนเองแทบทั้งสิ้น ก้อนกลมๆ ม้วนตัวเป็นคลื่นจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เห็นได้อย่างชัดเจน เคลื่อนตัวเป็นคลื่นพุ่งออกทางทวารทั้ง ๕ ทุกคนจ้องมองอย่างไม่กะพริบตา และตกใจระคนกัน คุณเด่นพงษ์ และคุณสุนิดา เล่าว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ ที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้


เมื่อคุณเด่นพงษ์และคุณสุนิดาประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว จึงรีบปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ คุณเด่นพงษ์เล่าว่า ก่อนที่จะเข้าวัดพระธรรมกาย ตัวเขาเองใช้ชีวิตอย่างประมาทมากสนุกสนานไปวันๆ สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนๆ ตกกลางคืนออกเที่ยว กินเหล้าเมายาสารพัด ที่เรียกว่าอบายมุขทุกอย่าง รวมที่ตัวเขาหมด ออกเที่ยวทุกคืน ไม่เว้นแม้แต่การพนันและเล่นหวย หมดเงินทีละหลายหมื่นภายในเดือนเดียว แต่ก็ไม่เคยได้รับผลกำไรกลับคืนมาเลย ละลายทรัพย์ไปกับสิ่งลวงตา


หลังจากเข้าวัดได้ตระหนักในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเริ่มปฏิบัติอย่างจริงจัง เขาเลิกได้ทุกอย่าง เพราะจิตใจที่มั่นคงมีสมาธิเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดมาให้ คุณสุนิดาก็เช่นกัน ทั้งคู่เปิดบ้านกัลยาณมิตร เธอได้ชวนเด็กๆ ละแวกบ้านมานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมโดยมีพระอาจารย์เมตตา นำนั่งสมาธิ เด็กๆ ชอบมากและมากันเป็นประจำ พระอาจารย์สอนให้กราบไหว้พ่อแม่ เด็กๆ ก็จะปฏิบัติตาม

 
บริเวณที่คุณเด่นพงษ์สวดมนต์นั่งสมาธิเป็นประจำ
 

คุณเด่นพงษ์และคุณสุนิดากล่าวว่า เขาทั้งคู่เมื่อเข้าวัดพระธรรมกาย สร้างพระธรรมกายประจำตัว ได้รับพระมหาสิริราชธาตุ ก็อธิษฐานขอให้หมดหนี้สิน ให้มีสมบัติตักไม่พร่อง และทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ คุณเด่นพงษ์ได้เปลี่ยนหน้าที่การงานใหม่ ได้เงินเดือนและสวัสดิการเพิ่มเป็นสองเท่าจากตำแหน่งพนักงานขายธรรมดาไปเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย นอกจากนี้ยังได้เจ้านายที่เป็นคนดีมีคุณธรรม เพื่อนๆ ที่เคยชวนกันกินเที่ยวก็เริ่มห่างหายไปเพราะเห็นว่าคุณเด่นพงษ์ตั้งใจทำความดีจริงๆ จึงไม่อยากชวนไปเที่ยวด้วย


คุณเด่นพงษ์เล่าเรื่องที่ตื่นเต้นให้ฟังอีกว่า ตอนที่ทำงานอยู่ที่ทำงานเดิมนั้น เขามีเพื่อนสนิทชื่อคุณวีรฉัตร จึงไม่อยากให้เพื่อนพลาดโอกาสบุญในครั้งนี้ บอกเพื่อนว่า การสร้างพระที่มหาธรรมกายเจดีย์เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ มีอายุคู่โลกเป็นพันปี จะมีคนมากราบไหว้บูชาอีกมากมาย เราเองอายุไม่ถึงร้อยปี แต่องค์พระที่เราสร้างไว้ จะยังอยู่คู่ลูกหลานไปอีกนานนับพันปี เพื่อนได้ฟังก็อยากสร้างพระธรรมกายประจำตัวด้วย แต่ก็บอกด้วยความเคยชินว่า "รอไว้สิ้นเดือนก่อนนะ" คุณเด่นพงษ์ได้นำเอกสารจากวัดพระธรรมกายเป็นรูปโครงสร้างเจดีย์และหนังสืออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุให้เขาดู เมื่อเห็นองค์พระมหาสิริราชธาตุรู้สึกชอบท่านมาก อยากได้เป็นเจ้าของ พอเปิดดูข้างในหนังสือมีบทสวดสรรเสริญฯ จึงถามคุณเด่นพงษ์ว่า เขาสวดอย่างไร คุณเด่นพงษ์จึงสวดให้ฟัง พอสวดไปได้ ๔ วรรค เขาบอก "หยุดๆๆ สวด ผมเปลี่ยนใจแล้วไม่รอถึงสิ้นเดือนดีกว่า มีโอกาสต้องรีบขวนขวาย" ว่าแล้วก็ควักเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นบาทออกมาจากกระเป๋าให้เขา คุณเด่นพงษ์ถามย้ำว่า "นี่จะสร้างตอนนี้จริงๆ หรือ" เขาบอก "จริงซีครับ" ด้วยน้ำเสียงจริงจังและมั่นใจมาก คุณเด่นพงษ์ บอกว่าเรื่องนี้แปลกมากเลย เตือนให้เขาเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า เพื่อนคนนี้เป็นเจ้าของบุญและไม่ประมาทในการทำบุญมีโอกาสแล้วก็รีบทำ เหมือนกับที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า เจ้าขององค์พระธรรมกายประจำตัวมีอยู่จริง ขอให้ลูกๆ ทุกคนไปบอกกล่าวถึงการสร้างพระธรรมกายประดิษฐาน ณ มหาธรรมกายเจดีย์ครั้งนี้ แล้วจะเจอเจ้าของบุญ ขอให้ทุกคนตั้งใจจริง


ส่วนคุณสุนิดาซึ่งประกอบธุรกิจส่วนตัว ก็สวนกระแสเศรษฐกิจ กิจการคล่องตัว สามารถอยู่ได้โดยไม่ขัดสนเหมือนแต่ก่อน บวกกับการได้ประกอบกุศลสร้างบุญบารมีอย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจากที่ประสบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเช่นนี้ ยิ่งทำให้ต้องรีบหาที่พึ่งให้กับตัวเองโดยเร็วที่สุด ไม่รอให้ความแก่ชราหรือโรคภัยไข้เจ็บมาเยือนเสียก่อน รีบประพฤติปฏิบัติธรรม ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะเชื่อแน่ว่าชีวิตคนเรานั้นหากประกอบคุณงามความดีไว้ในยามที่มีชีวิตอยู่ จิตย่อมเป็นสุข และเมื่อหมดลมหายใจ ก็จะไปสู่สุคติ ดังที่เขาเรียกว่า "มาสว่างไปสว่าง" ซึ่งตรงข้ามกับ "มาสว่างไปมืด" ท่านจะเลือกอย่างไหนดี? 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล