บทความพิเศษ
เรื่อง : ธัมม์ วิชชา
สุขในผ้าเหลือง
" นี่ก็บวชมาจะครบพรรษาแล้ว
ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ความสุขแบบพระ สุขในผ้าเหลือง
เราได้พบแล้วหรือยัง"
ในสมัยพุทธกาลมีพระราชาผู้ทรงธรรมท่านหนึ่งนามว่า "กัปปินะ" ท่านได้ละทิ้งราชสมบัติอันประณีต และเลือกหนทางชีวิตอันสมถะบวชเป็นสมณะในพระพุทธศาสนา อาศัยผ้าแค่เพียง ๓ ผืน เป็นเครื่องนุ่งห่ม หล่อเลี้ยงสังขารด้วยอาหารบิณฑบาตจากญาติโยม เมื่อบำเพ็ญภาวนาอย่างกลั่นกล้า พระมหากัปปินะก็ได้ค้นพบ "ความสุขแท้" เป็นความสุขที่ค้นพบในผ้าเหลือง อันความสุขในเครื่องทรงแห่งองค์กษัตริย์มิอาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้อดีตราชันย์ผู้แม้ผ่านความสุขสบายมามากมาย ในตำแหน่งแห่งเจ้าชีวิต ถึงกับรำพึงขึ้นมาว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ"
ความสุขแบบพระหรือสุขในผ้าเหลือง เป็นความสุขที่พระภิกษุทั้งหลายพึงยินดี และทำให้เกิดขึ้นในตนเอง ดังมีตัวอย่างของพระธรรมทายาท รุ่นเข้าพรรษา ๑๐๐,๐๐๐ รูปทั่วไทย ที่ได้ใช้ช่วงเวลานาทีทองของชีวิตสมณะในระหว่าง จำพรรษา ประกอบความเพียรตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติธรรมจนกระทั่งได้รู้ว่า "สุขในผ้าเหลือง" นั้นเป็นอย่างไร
พระธรรมทายาทพงศกร สุมโน อายุ ๓๓ ปี หัวหน้าศูนย์อบรมจากศูนย์อบรมวัดแม่หาด จ.เชียงใหม่ ตอนอายุ ๒๐ ปี ท่านเคยบวชแล้ว ครั้งหนึ่ง แต่บวชแล้วยังไม่พบครูบาอาจารย์ที่คอย แนะนำแนวทางปฏิบัติ ทำให้ไม่รู้ว่าจะดำรงตนใน สมณเพศอย่างมีคุณค่าได้อย่างไร หลังบวชอยู่ ๓ เดือนก็ลาสิกขาไปใช้ชีวิตทางโลก จนกระทั่ง ได้รู้จักกับวัดพระธรรมกายและได้มาเข้าวัด อย่างสม่ำเสมอ และคิดในใจว่า สักวันหนึ่งเรา จะต้องมาบวชเป็นพระวัดพระธรรมกายให้ได้ เพราะเคยได้ยินผู้คนคุยกันว่า "จะบวชเป็นพระ วัดพระธรรมกายถ้าไม่ตั้งใจจริง..บวชไม่ได้ แล้วพระที่นี่ก็เป็นพระแท้ทั้งนั้น"
ด้วยความมุ่งมั่นอยากเป็นพระแท้ จึงตัดสินใจยื่นใบลาออกจากงานราชการตำรวจ มาบวชและฝึกตัวเป็นพระแท้ที่วัดพระธรรมกาย และตั้งใจปฏิบัติธรรมจนกระทั่งได้พบความสุขแบบพระ
พระพงศกร สุมโน
"ด้วยความมุ่งมั่น อยากเป็นพระแท้ จึงตัดสินใจ ยื่นใบลาออก
จากงานราชการตำรวจ มาบวช และฝึกตัว เป็นพระแท้ ที่วัดพระธรรมกาย"
"ทุกครั้งก่อนนั่งสมาธิผมจะเตือนใจ ตัวเองว่า หลวงพ่อให้โอกาสเราแล้ว เราต้องทำให้ดีที่สุดและหาเวลานั่งสมาธิเพิ่มเติมขึ้น วันนั้นผมนั่งฟังเสียงหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็เห็นแต่ความมืด สักพักก็เหมือนเราตกใจอะไรสักอย่าง ใจมันวูบไปเลย แล้วจากมืด ๆ ก็มืดหนักกว่าเก่า และผมก็เห็นแสงเหมือนดวงดาวออกมาจาก ภายในตัว ผมก็สงสัยว่าเอ๊ะ..อะไรออกมา ก็นึกได้ว่า หลวงพ่อบอกให้ทำนิ่ง ๆ ที่ศูนย์กลางกาย พอนิ่ง ใจก็สบายมาก แล้วจุดสว่างก็ใหญ่ขึ้นเหมือนกับ ดวงจันทร์ เป็นแสงกว้างใหญ่ออกมาเลย ผมตกใจแทบหงายหลัง สะดุ้งลืมตาแล้วดวงนั้นก็หายไป จากนั้นมานั่งอย่างไร ๆ ก็ไม่เห็นดวงสว่างอีก จนผมถอดใจคิดว่าคงไม่เห็นอีกแล้ว บุญเราคงมีแค่นี้ พอไปปฏิบัติหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง คืนหนึ่งได้ขึ้นไปนำพระธรรมทายาทนั่งสมาธิ ผมนำนั่งด้วยการเปิดเสียงของหลวงพ่อครับ วันนั้นรู้สึกสบายใจมาก นั่งไปสักพัก ใจก็นิ่งไม่คิดอะไรเลยแล้วก็เห็นเป็นดวงกลมสีทองใส ๆ ผุดออกมาจาก กลางกาย แล้วใจก็แวบนึกถึงหลวงพ่อ ผมก็เห็นหลวงพ่อมาเลย มาในท่านั่งสมาธิอยู่ในดวงกลม ๆ เป็นสีทองไปทั้งองค์ ทั้งจีวร แว่นตาก็เป็นสีทองไปหมด พอทำใจนิ่ง ๆ หลวงพ่อก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ใหญ่ออกมาจากในตัวผม จนเท่าตัวผม แล้วก็มีแต่ความสว่างเต็มไปหมด สักพักผมก็สะดุ้งลืมตาพอออกจากสมาธิแล้ว มองไปไม่เห็นใครเลยครับ มีผมนั่งอยู่บนสเตจคนเดียว ตอนนั้นมันโล่งมาก คล้าย ๆ เราฝันไป แต่มีความสุขมาก ปลื้มมาก รู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่ามาก คุ้มแล้วที่ได้เกิดมา แล้วพระธรรมทายาท ก็มาบอกว่า "โห..พระอาจารย์นั่ง ยันเช้าเลยหรือครับ"
"วันต่อมาก็นั่งได้สบายมาก พอใจนิ่งดวงสว่างก็มาเลย แล้วตอนนั้นผมก็ไม่ได้ยิน เสียงอะไร แม้แต่เสียงของหลวงพ่อก็ไม่ได้ยิน แล้วสักพักก็เห็นเป็นอะไรแหลม ๆ ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมา พอมองไปก็เห็นเป็นพระพุทธรูปค่อย ๆ ขึ้นมาจนเต็มองค์ ผมเห็นท่านชัดมาก เป็นองค์สีทองใส ๆ หน้าตาเหมือนพระธรรมกายที่อยู่ในวัด แล้วก็มีวงกลม ๆ เป็นกรอบล้อมองค์พระไว้ด้วย ตอนนั้นไม่คิดอะไรเลย รู้สึกสบายใจอย่างเดียว อยากนั่งอยู่อย่างนั้นไปนาน ๆ แล้วจะนั่งกี่รอบ ๆ ก็เป็นแบบนี้ แต่ว่าองค์พระจะใหญ่เล็กต่างกันไปในแต่ละวัน ขนาดล้างหน้าแปรงฟันถ้าเผลอชำเลืองแบบเผลอใจไปดู ก็จะเห็นท่านนั่งอยู่ในตัวเราครับ ตอนนี้สภาพใจดีมาก มีกำลังใจในการทำหน้าที่อย่างไม่ย่อท้อ ตอนนี้ผมยกทุกอย่างให้โยมพี่สาวหมดแล้ว การได้เห็นพระในตัวอย่างนี้ทำให้ไม่อยากได้อะไรอีกเลย เพราะรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาก็ไม่เคยรู้สึก ว่ามีความสุขแบบนี้เลย"
พระอนุกูล อธิมโน
" ตั้งใจให้โยมพ่อ-โยมแม่ได้บุญอย่างเต็มที่ พอไม่คิดอะไรใจก้นิ่ง แล้วก็มีจุดสว่างเกิดขึ้นตรงกลางท้อง"
อีกรูปหนึ่งคือ พระธรรมทายาท อนุกูล อธิมโน อายุ ๒๙ ปี พระธรรมทายาทจากศูนย์อบรมวัดพระธรรมกาย ระเบียง ๓
"เมื่อเข้าโครงการมาแล้วผมก็ตั้งใจฝึกฝนตัวเองทุกอย่าง เพราะอยากให้โยมพ่อ-โยมแม่ได้บุญด้วยเยอะ ๆ ช่วงแรกก็นั่งสมาธิไม่ค่อยได้ ผมคิดว่าเรื่องสมาธิต้องเป็นเรื่องของพระเกจิชั้นสูง ท่านทำกัน แล้วการจะเข้าถึงฐานที่ ๗ ก็ต้องเป็น อะไรที่ประณีตละเอียดลึกซึ้ง คนใจร้อนอย่างเราจะทำได้หรือ แต่พระอาจารย์ก็บอกว่า เข้าถึงได้ทุกคน แค่เพียงทำใจนิ่ง ๆ เฉย ๆ สบาย ๆ ประมาณวันที่ ๕ ของการอบรม ผมนั่งหลับตาทำตัวนิ่ง ๆ ทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไร ก็รู้สึกเหมือน มีคนเอาไฟฉายส่องมาที่ลูกตา ติด ๆ ดับ ๆ เป็นระยะ ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร วันต่อ ๆ มาก็เป็นอีก จนอุปสมบทแล้ว ๔ วัน คราวนี้ผมเห็นความสว่างนานขึ้น ผมก็ดูไปเฉย ๆ ทำใจนิ่งๆ ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเห็นเป็นดวงกลม ๆ เท่ากำปั้น มีความใสนิดหน่อย ลอยอยู่ในระดับสายตา ผมคิดว่าแปลกดี ใจมันแปลก ๆ แต่มีความสุข มาก พอออกจากสมาธิแล้วอารมณ์ดี ดูอะไรก็ดีไปหมด ยิ่งนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่บอกว่า โยมพ่อ-โยมแม่จะได้บุญด้วย ก็ยิ่งปลื้มครับ “ผมนั่งสมาธิทุกวัน ใจก็นิ่งง่ายขึ้น แล้วตัวก็จะเบา แขน ขา ข้อก็เหมือนไม่มี ไม่ปวด ไม่เมื่อย หน้าอกขยาย ความสว่างก็เกิดมากขึ้น ผมนั่งสมาธิไปยิ้มไป แล้วก็อยากนั่งเรื่อย ๆ วันที่ ๒๙ สิงหาคม พอหลับตาปุ๊บ ผมก็เอาใจวางเบา ๆ ตรงกลางท้องที่ฐานที่ ๗ สักพักใจก็นิ่งมาก แล้วความสว่างก็มาเลยครับ แต่คราวนี้สว่างมาจาก ในกลางท้อง สว่างพรึบเป็นแสงนวลตา พอเอาใจไปวางเฉยๆ ตรงแสงนั้น ก็เห็นเป็นดวงกลม ๆ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากด้านล่างสุดของท้อง ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น ดวงนั้นเล็กกว่ากำมือ ใสมากจนผมคิดว่า “เราคิดไปเองหรือเปล่า” ผมเลยจะลบภาพดวงแก้วที่เห็นด้วยการทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิด แต่ไม่คิดอย่างไรดวงนั้นก็ยังอยู่ ผมจึงมองเข้าไปตรงจุดสว่างของดวง แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็เห็นเป็นตัวเองห่มจีวรนั่งสมาธิ แต่เป็นกายใส ๆ ทั้งตัวเลยครับ พอจะพิจารณาใกล้ ๆ ภาพนั้นก็หายไป เหลือแต่ความสว่างที่กลางท้องจนหมดเวลา
"วันต่อมา ผมก็นั่งแบบเดิม ตั้งใจให้ โยมพ่อ-โยมแม่ได้บุญอย่างเต็มที่ พอไม่คิดอะไร ใจก็นิ่ง แล้วก็มีจุดสว่างเกิดขึ้นตรงกลางท้องพอวางใจเบา ๆ จุดนั้นก็สว่างขึ้นอีก ตัวเบามาก ใจนิ่งมาก ไม่มีความคิดอะไรเลย แล้วผมก็เห็น องค์พระขนาดใหญ่กว่าหนึ่งฝ่ามือเกิดขึ้นตรงกลาง พระอนุกูล อธิมโน ทุกคน แค่เพียงทำใจนิ่ง ๆ เฉย ๆ สบาย ๆ ประมาณวันที่ ๕ ของการอบรม ผมนั่งหลับตา ทำตัวนิ่ง ๆ ทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไร ก็รู้สึกเหมือนมีคนเอาไฟฉายส่องมาที่ลูกตา ติด ๆ ดับ ๆ เป็น ระยะ ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร วันต่อ ๆ มาก็เป็นอีก จนอุปสมบทแล้ว ๔ วัน คราวนี้ผมเห็นความสว่างนานขึ้น ผมก็ดูไปเฉย ๆ ทำใจนิ่งๆ ไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเห็นเป็นดวงกลม ๆ เท่ากำปั้น มีความใสนิดหน่อย ลอยอยู่ในระดับสายตา ผมคิดว่าแปลกดี ใจมันแปลก ๆ แต่มีความสุขมาก พอออกจากสมาธิแล้วอารมณ์ดี ดูอะไรก็ดีไปหมด ยิ่งนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่บอกว่า โยมพ่อ-โยมแม่จะได้บุญด้วย ก็ยิ่งปลื้มครับ "ผมนั่งสมาธิทุกวัน ใจก็นิ่งง่ายขึ้น แล้วตัวก็จะเบา แขน ขา ข้อก็เหมือนไม่มี ไม่ปวด ไม่เมื่อย หน้าอกขยาย ความสว่างก็เกิดมากขึ้น ผมนั่งสมาธิไปยิ้มไป แล้วก็อยากนั่งเรื่อย ๆ วันที่ ๒๙ สิงหาคม พอหลับตาปุ๊บ ผมก็เอาใจวางเบา ๆ ตรงกลางท้องที่ฐานที่ ๗ สักพักใจก็นิ่งมาก แล้วท้อง นั่งหันหน้าเข้าหาผม เห็นชัดมาก พอเอาใจไปวางตรงจุดสว่างกลางท้องพระ ท่านก็ใหญ่ขึ้นมาเลย ขยายออกมาจากกลางท้อง ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วท่านก็บิดตัวหมุนไปด้านหน้า เอาหลังของท่าน ซ้อนตรงกับหลังของผม ทับร่างผมพอดี ผมถึงเข้าใจคำว่า "เราเป็นพระ พระเป็นเรา" มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมรู้สึกถึงความสบายใจ มีความสุข อย่างที่สุด"
ความสุขของพระอยู่ที่การชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ พระจะพบความสุขแบบพระได้ ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงองค์พระภายในตัว เมื่อบวชเป็นพระแล้ว พระต้องหมั่นตั้งคำถามกับตนเอง ดังที่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระผู้ปราบมาร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ท่านได้บอกตัวเองในกลางพรรษาที่ ๑๒ ว่า "บัดนี้ ของจริงที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ท่านเห็น เราก็ยังไม่ได้ บรรลุ ยังไม่รู้ไม่เห็น สมควรแล้วที่จะต้องกระทำอย่างจริงจัง" แล้วท่านก็ได้ตั้งใจทำความเพียร โดยตั้งสัจจะอธิษฐานเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่า "ถ้าเรานั่งลงไปในครั้งนี้ ไม่เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้า
ต้องการ เป็นอันไม่ลุกจากที่นี้จนหมดชีวิต"
ผลแห่งความเพียรของท่านเป็นประโยชน์ เกื้อกูลแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายในฐานะของ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายมาตราบเท่าทุกวันนี้
บัดนี้วันออกพรรษาใกล้เข้ามาทุกขณะ ควรที่พระธรรมทายาททั้งหลายจะตั้งคำถาม กับตนเองเช่นกันว่า "นี่ก็บวชมาจะครบพรรษาแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า ความสุขแบบพระ สุขในผ้าเหลือง เราได้พบแล้วหรือยัง" ถ้ายังก็ต้องหมั่น บำเพ็ญเพียรภาวนา อันเป็นแนวทางที่ผู้รู้ ผู้หลุดพ้น ทั้งหลายท่านได้กระทำมา โดยปฏิบัติตามคำ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้สอนเอาไว้ว่า
"ในการบำเพ็ญภาวนา ความเพียรเป็นข้อ สำคัญยิ่ง ต้องทำเสมอ ทำเนืองๆ ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่า นั่งนอน เดิน ยืน และทำเรื่อยไป อย่าหยุด อย่าละ อย่าทอดทิ้ง อย่าท้อแท้ มุ่งรุดหน้าเรื่อยไป ผลจะเกิดวันหนึ่งไม่ต้องสงสัย ผลเกิดอย่างไรท่าน รู้ได้ด้วยตัวของท่านเอง"