เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
E-mail : [email protected]
พรสรร กำลังเอก
กับ "ความสุข" ที่เงินซื้อไม่ได้!
เมื่อเอ่ยถึงชื่อ พรสรร กำลังเอก ทุกคนจะนึกถึงไฮโซระดับประเทศที่เจนวงการสังคมคนหนึ่งเธอเป็นถึงลูกสาวของ ดร.ถาวร พรประภา ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามกลการ และบริษัทในเครือกว่า ๕๐ บริษัท และที่สำคัญผู้คนจำนวนมากยังรู้จักเธอดีในฐานะภริยา พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก
แต่ ณ วันนี้...ใครจะรู้บ้างว่า แท้จริงแล้ว...เธอมีด้านหนึ่งของชีวิตอันแสนเรียบง่ายและเป็นความเรียบง่ายที่เพิ่มดีกรีความสุขสงบให้ชีวิตอย่างแตกต่าง และนับจากวินาทีนี้...เราจะได้รู้ถึงวิถีชีวิตซึ่งทำให้เธอมีความสุข ที่ไม่เคยเปิดเผย ณ ที่ใดมาก่อน ! “
หลังจากที่ลูกชายได้มาบวชเป็นพระ ท่านก็ได้ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้เรามาปฏิบัติธรรมโดยตลอด จนกระทั่งได้ทราบข่าวเรื่องการบวชอุบาสิกาแก้ว จึงสะกิดใจมาว่า เกิดมาชาตินี้ เราได้ทำอะไรมามากมาย ตั้งแต่ทำธุรกิจ ไปเที่ยวต่างประเทศ ออกงานสังคม เป็นนายกสมาคม เป็นประธานโครงการนั้น โครงการนี้ ช่วยเหลือสาธารณกุศลมาก็มาก เรียกได้ว่าทำมาเกือบทุกอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่คิดว่า ถ้าทำแล้วจะกลายเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุด ที่มีค่าต่อการจดจำไปตลอด ก็คือ การบวชอุบาสิกาแก้ว เพราะการบวชเป็นช่วงแห่งความบริสุทธิ์ของชีวิต พอคิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็ตัดสินใจไปบวชด้วยตนเอง และพาลูกน้องในบริษัทไปบวชด้วยกัน ๑๐ กว่าคน ที่ผ่านมา และมากไปกว่านั้นยังได้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงอุบาสิกาแก้วถึง ๒ จังหวัด คือ ที่จ.มุกดาหาร และ จ.นครราชสีมา ซึ่งตอนนั้นก็ไม่คิดว่าเราจะทำได้ เพราะแต่ละศูนย์อบรมที่เลือกไปล้วนแต่เป็นถิ่นทุรกันดาร ไม่มีความสะดวกสบายเหมือนเราอยู่ที่บ้าน
“การบวชทำให้เราได้ฝึกการมีชีวิตที่เรียบง่ายตามแบบวิถีพุทธ รู้หลักธรรมะที่จะเอามาใช้กับชีวิต รู้จักปล่อยวาง มองโลกเป็นไปตามความเป็นจริง อีกทั้งยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมชาวพุทธที่ถูกต้องซึ่งพอเสร็จสิ้นโครงการแล้ว ก็ได้กลับไปเล่าให้พระลูกชายฟังว่า เราทำอะไรไปบ้าง จนท่านถามว่า โยมหม่ามี้ทำได้จริง ๆ หรือ พร้อมกับแอบปลื้มกับสิ่งที่เราทำ จนกระทั่งมาถึงโครงการบวชอุบาสิกาแก้วล้านคนรุ่นผู้นำ เราก็ได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรชวนคนไปบวชกันที่ศูนย์อบรมเวิลด์พีช ซึ่งมีคนสนใจสมัครบวชมากถึง ๑๒๐ คน แต่ละคนต้องรักษาศีล ๘ และอยู่รวมกันโดยไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ ทุกคนได้สวดมนต์ และนั่งสมาธิอย่างเข้มข้น ได้ฟังธรรมะจากพระอาจารย์ และแบ่งกลุ่มเพื่อไปบำเพ็ญสาธารณกุศล โดยการพัฒนาวัดในชุมชน คือ วัดหนองจอก ซึ่งใน ๑๒๐ คน เราแบ่งเป็น ๔ กลุ่ม กลุ่มแรกทำความสะอาดโบสถ์ กลุ่มที่ ๒ ทำความสะอาดหอระฆัง กลุ่มที่ ๓ ตัดหญ้า และดูแลสนามหญ้าให้เรียบร้อบ กลุ่มที่ ๔ ทำความสะอาดศาลาวัด ซึ่งแต่ละคนช่วยกันทำความสะอาดและพัฒนาวัดด้วยความเบิกบาน พอทำเสร็จก็เกิดความภูมิใจว่า ทั่วทั้งวัดสะอาดได้ด้วยมือพวกเรา และที่สำคัญความสะอาดภายนอกจะมีผลต่อความสะอาดภายในจิตใจ เพราะเรากล้าทำในสิ่งที่ทุกคนคิดว่าสกปรกให้สะอาด
“ พอมาถึงจุดนี้ เราก็ได้ข้อคิดกับชีวิตว่า แท้จริงแล้วคนเราเกิดมาก็ปราถนาความสุขกันทั้งนั้น แต่น่าเสียดายที่ความสุขเป็นสิ่งที่ยกให้กันไม่ได้ แม้มีเงินทองมากมายขนาดไหนก็ไม่สามารถซื้อความสุขที่เกิดจากปฏิบัติธรรมได้เลย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพึงพอใจในเพศนักบวชมากกว่าการเป็นกษัตริย์หรือจอมจักรพรรดิผู้เกรียงไกร ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ทรงมีชีวิตที่สุขสบายในปราสาท ๓ ฤดู มีราชสมบัติ และล้อมหน้าล้อมหลังด้วยข้าราชบริพารอันมากมาย แต่พระองค์กลับทิ้งความสะดวกสะบาย ยอมสละราชสมบัติทั้งหมด สละชีวิตที่ซับซ้อน มาใช้ชีวิตที่เรียบง่าย แล้วในที่สุดก็เข้าถึงพระนิพพาน เพราะพระองค์ทรงรู้ว่า สมบัติเหล่านั้นไม่อาจทำให้พระองค์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หมดกิเลส พ้นทุกข์จากห้วงวัฎสงสารอันยาวไกล อีกทั้งทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ยังเป็นเครื่องกังวลที่ไม่อาจบันดาลความสุขที่แท้จริงให้กับพระองค์ได้เลย และมากไปกว่านั้นพระองค์ยังทรงให้พระราหุล พระราชโอรสที่เป็นที่รักยิ่งของพระองค์ สละตำแหน่งรัชทายาทออกบวชตั้งแต่ยังเยาว์วัยเจริญรอยตามพระองค์อีกด้วย
“ดังนั้น..หากเรามีทรัพย์สมบัติไม่มากเท่าพระองค์ ก็พึงให้โอกาสตัวเองออกบวชสักช่วงหนึ่งของชีวิตไม่ว่าจะเป็นการบวชพระหรือบวชอุบาสิกาแก้ว เพื่อให้ตัวเองได้สิ่งที่มีค่ามากกว่าทรัพย์ที่หามาตลอดชีวิต
“สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า ในการบวชอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน ๑ ล้านคน ที่กำลังจะเกิดขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป ก็อยากเชิญชวนทุกคนไปบวช จะได้ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อย่างเข้มข้น เพราะการบวช เป็นช่วงชีวิตที่เราจะทำให้ความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ เกิดขึ้นกับเราจริง ๆ อีกทั้งยังถือเป็นประวัติศาสตร์ชีวิตที่เราจะได้ช่วยกันกอบกู้ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองเหมือนย้อนยุคพุทธกาล ”