บทความบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙
|
|
ย้อนไปเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่แล้ว ณ ดินแดน ภารตะ ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระมหาบุรุษ ได้ถือกำเนิดเกิดกายเนื้อ ด้วยการประสูติจากครรภ์ ของพระนางสิริมหามายา ณ ลุมพินีวัน เมื่อเสด็จไปได้ ๗ ก้าว เหลียวซ้ายแลขวาทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง จะหาใครในโลกนี้ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์ไม่มี จึงได้เปล่งอาสภิวาจา ซึ่งเป็นวาจาที่บ่งบอกว่าพระองค์เสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกเพื่อชัยชนะเท่านั้น เหล่าเทวดา แซ่ซ้องสาธุการสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วหมื่นโลกธาตุ
ทรงชนะมารนอกตัว
๓๕ ปีต่อมา วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหตุอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระมหาบุรุษได้ชัยชนะอย่างแท้จริง ด้วยการบรรลุธรรมกายอรหัตเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าที่พระพุทธองค์ จะได้ทรงตรัสรู้ธรรมต้องเจอศึกหนักหน่วงหลายชั้น ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญทุกรกิริยาที่แทบเอาชีวิต ไม่รอด ซ้ำยังทรงต้องมาเจอมารผจญ มาขัดขวางการตรัสรู้ธรรม แสดงเล่ห์เหลี่ยมทุกวิถีทาง อันได้แก่ อิทธิพล ทวงสิทธิ์ตน กลมายา
อิทธิพล การใช้กำลังเข้าปล้นชิงบัลลังก์ โดยการบันดาลฤทธิ์ต่างๆ นานา พุ่งเข้าใส่พระพุทธองค์ เช่นจักราวุธ และห่าฝนอันตราย ๙ ชนิด เป็นต้น โดยมุ่งหมายว่าจะทำลายพระมหาบุรุษให้แหลกลาญ เลยทีเดียว
ทวงสิทธิ์ตน การตู่เอาบัลลังก์ที่นั่งว่าไม่ใช่ของพระโพธิสัตว์อ้างพยานยืนยันว่าเป็นของตน
กลมายา การส่งธิดามาร ๓ ตน มาขับร้องฟ้อนรำให้ชม หวังจะให้พระพุทธองค์เกิดกิเลสราคะ แล้วลุ่มหลงตกหลุมพรางของตน
พระบรมโพธิสัตว์ทรงอาศัย "ความสงบสยบ ความเคลื่อนไหว" ทรงเอาบุญบารมีเป็นที่พึ่ง ทำให้หมู่มารมิอาจทำอันตรายได้แม้เพียงทำชายจีวร ให้ปลิวไหว จนต้องพ่ายแพ้ราบคาบไป นี้นับเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดาชัยชนะตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์
|
ทรงชนะมารในตัว
พระมหาบุรุษนอกจากจะทรงมีชัยต่อเทวบุตรมารแล้ว ยังทรงชนะมารที่อยู่ในใจอีกด้วย นั่นคือกิเลสมาร หรือ "อวิชชา" ที่ซ่อนตัวเพื่อบังคับห่อหุ้ม ปกปิด และบดบังจิตดั้งเดิมที่เคยสว่างประภัสสรให้ มืดมิด ทำให้ยากที่จะรู้ความจริงของชีวิต วันเพ็ญวิสาขะถือว่าเป็น "วันที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร"ทำให้พระองค์ได้รู้แจ้งอริยสัจ เห็นจริงในเหตุแห่งสรรพสิ่ง
เนื่องเพราะ"อวิชชา" ตัวเดียว ทำให้เหล่าสัตว์ทุกภพภูมิต้องเวียนว่ายตายเกิด ถูกโขกสับ ทุกข์ โทมนัสไม่รู้จบสิ้น อวิชชา คือ ความไม่รู้นั้นมีอยู่ ๘ ประการ ได้แก่ ความไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางถึงความดับทุกข์ ไม่รู้ในส่วนอดีต ไม่รู้ในส่วนอนาคต ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต และส่วนอนาคต และประการสุดท้ายไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คือไม่รู้สิ่งที่อาศัยกันและกัน แล้วก็ส่งผลรับช่วงกันมาเป็นทอดๆ ซึ่งกลายมาเป็นเหตุให้เกิดวงจรแห่งทุกข์
พระมหาบุรุษเพียงแค่เห็นเทวทูต ก็ทรงรู้ทันที ว่าโลกนี้คือที่รวมกองทุกข์อย่างมโหฬาร จึงแสวงหา ความจริงของชีวิตเพื่อที่จะดับมัน โดยแสวงหาความรู้ จากครูบาอาจารย์สำนักต่างๆ เรื่อยมา จนสุดท้ายก็มาเรียนรู้ได้ด้วยพระองค์เองที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทำให้หมู่มารทนไม่ได้ กลัวว่าพระองค์จะหลุดจากกรอบของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงต้องรีบมาขัดขวาง การตรัสรู้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ พอพระองค์ชนะ หมู่มารผจญได้เรียบร้อย จิตก็ปลอดกังวลยิ่งกว่าเดิม จึงสะดวกในการที่จะน้อมปล่อยจิตไปเพื่อวิชชา ๓ อันได้แก่
ในยามแรก ทรงบรรลุวิชชาที่ ๑
บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ระลึกชาติตนเองในอดีตชาติได้ เป็นเหตุให้ทรงหยั่งรู้สังขารว่า เกิดจากการที่ธาตุสี่มารวมกันเป็นขันธ์ เป็นรูปกาย เป็นผลให้ทรงกำจัดความกำหนัดยินดี สิ้นเยื่อใยผูกพันในรูปกายที่ไม่จีรังยั่งยืน ซึ่งเป็นต้นเหตุรักและเหตุชังได้
ในยามกลาง ทรงบรรลุวิชชาที่ ๒
จุตูปปาตญาณ คือ ทรงมองเห็นการเกิดและตายของมวลสรรพสัตว์และภพภูมิต่างๆ เป็นเหตุให้ ทรงหยั่งรู้ว่าหมู่สัตว์ตกอยู่ใต้อำนาจกฎแห่งกรรม ที่ เป็นตัวแบ่งแยกให้สัตว์แตกต่างกัน มีสุขมีทุกข์ ดีเลว ไม่เหมือนกัน เป็นผลทำให้ทรงกำจัดความยึดมั่นใน ตัวตน คน สัตว์ สิ่งของได้
ในยามสุดท้าย ทรงบรรลุวิชชาที่ ๓
อาสวักขยญาณ ประหารกิเลสได้หมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ทำให้ทรงหยั่งรู้ขันธ์ว่าเป็นเหตุและผลสืบเนื่องติดต่อกันไป เหมือนโซ่ที่โยงเกี่ยวเป็นสาย เดียวกัน ส่งผลให้กิเลสกะเทาะร่อนหลุดขาดกระเด็นออกหมด
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ความมหัศจรรย์หลายอย่างก็ได้บังเกิดขึ้น อาทิ ดอกไม้ในหมื่นจักรวาลก็ผลิดอกออกรวงเบ่งบานไปทั่ว ต้นไม้นานาชนิดก็ผลิดอกออกผล แม้โลกันตนรก ที่ไม่เคยสว่างด้วยแสงสว่างใดๆ เลยก็กลับมีแสงแวบ หนึ่งขึ้นมา เป็นต้น
หลังจากตรัสรู้แล้วพระองค์ทรงเข้าสมาบัติต่อ เป็นเวลาอีก ๗ สัปดาห์ ที่เรียกว่า "เสวยวิมุตติสุข" ซึ่งนอกจากจะเสวยสุขจากการตรัสรู้ธรรมแล้ว ยังเป็นการเคี่ยวพระองค์ให้ลงลึกไปในธรรมที่ละเอียดลุ่มลึก เพื่อขยายส่วนกว้างแห่งพระญาณยิ่งขึ้นไปอีก เป็น การฝึกฝนเพิ่มเติมในด้านวิชาครู
ในสัปดาห์แรก ทรงพิจารณาเห็นตลอดซึ่งธรรม ที่ชื่อว่า "ปฏิจจสมุปบาท"ที่กล่าวถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ซึ่งเป็นผลพวงของอวิชชา เรื่อยมาจนมาถึงว่าเรา เกิดในภพได้อย่างไรเมื่อทรงเห็นแจ้งธรรมเหล่านั้น อย่างชัดเจน ก็ทรงมีความอิ่มเอิบปีติเบิกบานในพระหฤทัยยิ่งนัก
ล่วงมาสัปดาห์ที่ ๕ ทรงเฟ้นพิจารณาเห็นตลอดพระอภิธรรมปิฎกที่ชื่อว่า "สมันตปัฏฐานอนันตนัย" อันละเอียดสุขุม ส่งผลให้เกิดมหาปีติแผ่ซาบซ่าน พระฉัพพรรณรังสีไม่มีประมาณก็ผุดขึ้นแผ่ซ่านไปทะลุล้ำเทวโลก และพรหมโลกเป็นอันว่าทรงสำเร็จ วิชาครูอย่างสมบูรณ์ในสัปดาห์นี้
นี่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ ซึ่งกว่า จะมีวันนี้ได้ต้องเกิดจากการทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงชาติสุดท้ายยาวนาน ๒๐ อสงไขย กับเศษอีกแสนมหากัป
เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ทรงทำหน้าที่เป็นบรมครู แนะนำเหล่าเวไนยสัตว์ให้บรรลุธรรมตามมากมายนับไม่ถ้วน ทรงอาศัยมหากรุณาอันไม่มีประมาณเสด็จจาริกไปตามแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อโปรดหมู่สัตว์ โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง แม้เวลาเพียง ๔๕ พรรษา แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ที่พระองค์ได้ทรงคุ้มครอง ชีวิตสรรพสัตว์ทุกภพภูมิทั้งมนุษย์และเทวดา
และนำไปสู่การหลุดพ้นจากกรอบแห่งมารได้สำเร็จ
|
ทรงชนะการเวียนว่ายตายเกิด
หลังจากตรัสรู้ได้ ๔๕ พรรษา เมื่อคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ วันแห่งชัยชนะของพระพุทธองค์ ก็มาถึงอีกครั้งหนึ่ง คือ พระองค์จะหยุดการเวียนว่าย ตายเกิด แต่จะไปเสวยสุขในพระนิพพานที่เป็นสุขล้วนๆไม่มีทุกข์เจือปนเลย จึงใช้คำว่า "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" คือ ขันธ์ ๕ ดับหมด เหลือแต่ ธรรมกายซึ่งเป็นธรรมขันธ์ จะได้เสวยเอกันตบรมสุข อย่างเดียวส่วนพวกเราทั้งหลายนั้นยังต้องเวียนว่าย ตายเกิดอีกต่อไป เพราะเรายังไม่หมดกิเลส นี้ก็นับเป็นวันที่พระชนะมารเช่นกัน
ดังนั้น วันวิสาขบูชา จึงถือเป็นวันแห่งการเจริญ พุทธานุสติ รำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็น "มารชิโน" คือ พระผู้พิชิตมาร" มารำลึกถึง พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหา กรุณาธิคุณ อันไม่มีประมาณของพระองค์ จะได้ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจว่า จะต้องมีสักวันที่เราจะเป็นผู้ที่ชนะมารด้วยการยึดเอาพระองค์เป็นต้นแบบ ในการสร้างบารมี แล้วตั้งใจสร้างบารมีให้เข้มข้น กันต่อไปทุกวันมิให้ขาด เพื่อให้ธรรมะชนะอธรรม แล้ววันหนึ่งเราจะมีชัยชนะเหนือพญามาร ประดุจ พระผู้พิชิตมารบรมศาสดาของพวกเราทั้งหลาย