Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
เราทุกคนล้วนมีโอกาสในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง หากเราเริ่มสร้างโอกาสในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองในวันนี้ด้วยการละชั่ว ทำดี แล้วทำใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ทุกอย่างก้าวของชีวิต ไม่ว่าคิด พูด หรือกระทำ ก็ไม่ประมาท และหมั่นฝึกฝนอบรมใจ ในการวางใจไว้ที่ศูนย์กลางกลางฐานที่ ๗ อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ดีก็จะเกิดขึ้นกับเรา และก็จะมีการพัฒนาชีวิตให้มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น
มีถ้อยคำของนางยักษิณี ผู้เป็นมารดา ปลอบบุตรน้อยว่าปิยังกร อย่าอึกทึกไป ภิกษุกำลังกล่าวบทพระธรรมอยู่ อนึ่งเรารู้แจ้งบทพระธรรมแล้วปฏิบัติ ข้อนั้นจะพึงมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เราสำรวมในเหล่าสัตว์ผู้มีลมปราณ เราไม่กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ศึกษาแล้วทำตนให้เป็นผู้มีศีลดี เราจึงจะพ้นกำเนิดจากปีศาจนี้
สมัยหนึ่งในเวลาใกล้รุ่ง เมื่อพระอนุรุทธะเถระอาศัยอยู่ที่วิหารเชตวัน ได้ลุกขึ้นนั่งสมาธิเจริญภาวนาตามวิสัยของสมณะ พร้อมกันนั้นก็สวดมนต์ไปด้วย ท่านสวดอัปปมาทวรรค ซึ่งเกี่ยวกับความไม่ประมาท เป็นทำนองสรภัญญะ บังเอิญว่านางยักษิณีมีรูปร่างเหมือนปีศาจ เพราะนางเป็นนางยักษ์ชั้นต่ำ ประเภทวินิปาติกะ คือไม่มีฤทธิ์ แล้วก็เสื่อมจากความสุขทุกอย่าง รูปร่างจึงน่าเกลียด น่ากลัว คือเป็นทั้งยักษ์และเป็นทั้งปีศาจในร่างเดียวกัน
เพราะบาปกรรมที่ทำไว้ในอดีต นางอุ้มบุตรชื่อปิยังกรแสวงหาของกิน ซึ่งเป็นของเหม็นเน่าและอาหารบูดที่ชาวบ้านทิ้งไว้ตามกองขยะ รวมทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูก ครั้นมาถึงสถานที่ที่อยู่ของพระเถระ ได้ฟังเสียงที่ไพเราะเสนาะโสด เสียงนั้นได้ตัดผิวหนังจรดไปถึงเยื่อกระดูก ตรึงใจของนางให้หยุดฟังด้วยความตั้งใจ ครั้นนางได้เงี่ยโสดสดับ ก็ไม่คิดในการแสวงหาอาหาร ทั้งๆที่นางมีความหิวกระหายเหลือเกิน แต่ก็กระหายในการฟังเสียงพุทธมนต์จากพระเถระมากกว่า
ส่วนยักษ์ทารก ไม่มีจิตในการฟังธรรม และกำลังหิวโหย จึงร้องบอกนางยักษ์บ่อยๆว่า “ลูกหิวเหลือเกิน แม่มัวทำอะไรอยู่ ทำไมแม่จึงยืนนิ่ง ไม่หาอาหารต่อล่ะ” นางจึงปลอบบุตรน้อยด้วยถ้อยคำที่ไพเราะว่า
“ลูกปิยังกร อย่าส่งเสียงดังไปเลย อย่าอึกทึกไป พระภิกษุกำลังกล่าวบทพระธรรมอยู่ แม่รู้แจ้งบทพระธรรมแล้ว จะปฏิบัติตามที่พระเถระท่านกล่าวสอน ธรรมนั้นจะมีประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกเรา หากแม่สำรวมในเหล่าสัตว์ผู้มีลมปราณ ได้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ เมื่อแม่ศึกษาธรรมะเหล่านั้น ทำตนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จะสามารถพ้นจากกำเนิดยักษ์ปีศาจ ซึ่งมีภิกษาหาได้ยากนี้ หากลูกตั้งใจฟังธรรม และนำไปปฏิบัติ ก็จะสามารถพ้นจากความอดอยากยากเข็ญในอัตตภาพนี้ได้”
เมื่อลูกน้อยที่หิวแสนหิวได้ฟังแล้ว ก็ข่มความหิวเอาไว้ ตั้งใจสดับฟังธรรมะที่พระเถระกำลังสวด ในที่สุด นางยักษ์ปีศาจก็ได้บรรลุธรรมเป็นโสดาบัน กลายเป็นยักษ์ชั้นสูง ได้พ้นจากสภาพวินิปาติกะไปในทันที กลายเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์ มีอานุภาพ และก็มีธรรมะเป็นอาภรณ์
ถ้าใจผ่องใสแล้ว บุญก็จะได้ช่อง เพราะสรรพสัตว์ที่เกิดมาในสังสารวัฏไม่มีใครที่ไม่เคยทำบุญ เพียงแค่ว่าตัวเองจำไม่ได้ว่าทำบุญอะไรไว้บ้าง บุคคลทั้งๆที่ทำบุญเอาไว้เยอะ แต่ไม่รู้หลักวิชา มัวไปนึกถึงบาปที่ทำเพียงครั้งเดียว ใจก็เลยเศร้าหมอง เมื่อใจเศร้าหมองก็ไปอบาย อบายกับสบายมาคู่กัน เหมือนสุขคติกับทุกคติ เราจะเลือกไปไหนก็ขึ้นอยู่กับใจ
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างของยักษ์ที่พ้นจากอัตภาพอันแสนลำบาก คืนวันหนึ่ง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ให้พระภิกษุได้เห็นแจ้งธรรมีกถาที่เนื่องด้วยพระนิพพานแล้ว ก็ทรงเห็นนางยักษิณีกำลังอุ้มลูกสาว จูงลูกชาว เที่ยวแสวงหาอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น แถบกำแพงและริมคูคลอง หลังวัดพระเชตวันและพระองค์ แล้วพระพุทธองค์ทรงเห็นอุปนิสัยของนางยักษิณีที่จะบรรลุธรรม
เนื่องจากนางยักษิณีอยู่นอกวัด จึงไม่ได้ยินเสียงในธรรมสภา ออกไปยืนที่ซุ้มประตูก็ได้สังเกตเห็นพุทธบริษัทนั่งสงบนิ่ง มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เหมือนเปลวประทีบในที่ไม่มีลม ทำให้นางคิดไปว่าที่นี่คงจะมีของแจกเป็นแน่ คงจะได้อาหารที่พุทธบริษัทนำมาวางไว้ให้พวกอมนุษย์ จึงเข้าไปภายในวิหาร
ขณะที่นางกำลังพาพวกลูกๆเข้าไปในวัด ก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระบรมศาสดาที่แผ่ออกมา และได้กระทบโสตของนาง ทำให้นางยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว และตั้งใจเงี่ยโสตสดับลืมว่าตัวเองกำลังหิว ครั้นถูกลูกน้อยทั้งสองร้องเตือนให้รีบไปหาอาหาร แต่นางเกรงว่าลูกน้องทั้งสองจะทำอันตรายต่อการฟังธรรมของนาง จึงพูดปลอบว่า
“นิ่งเสียเถิดลูกอุตรา นิ่งเสียเถิดลูกปุนัพพสุ ขอให้แม่ได้ฟังพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐจบก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึงพระนิพพาน อันเป็นเครื่องเปลื้องตนจากกิเลสทั้งปวง อย่าให้เวลาในการฟังธรรมของแม่ไร้ประโยชน์เลย ลูกทั้งสองนั้นเป็นที่รักมากที่สุดในโลกของแม่ พ่อขอลูกก็เป็นที่รักมากที่สุดในโลกของแม่ แต่ความปรารถนาในธรรมของแม่นั้นเป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลก ที่แม่พูดอย่างนี้ก็เพราะลูกหรือพ่อของลูกไม่สามารถปลดเปลื้องแม่จากทุกข์ได้ "
"ไม่เหมือนกับการฟังธรรม ที่สามารถปลดเปลื้องเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ เมื่อโลกถูกแวดล้อมด้วยความทุกข์ ซึ่งประกอบด้วยชราหรือมรณะ แม่จึงปรารถนาจะฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญายิ่ง เพื่อจะให้พ้นจากชราและมรณะ จงนิ่งเสียเถิดลูกรัก”
ปุนัพพสุเห็นแม่มีความเคารพในการฟังธรรมมาก จึงบอกว่า “แม่จ๋า ลูกจะไม่ร้องอีกแล้ว อุตราน้องสาวของลูกก็จะนิ่ง ไม่ร้องอีก เชิญแม่ฟังธรรมเถิด การฟังพระสัจการฟังพระสัทธรรมนำความสุขมาให้แม่จ๋า อันที่จริงแล้ว เพราะพวกเราไม่ได้ฟังพระสัทธรรม บัดนี้จึงต้องเสวยทุกข์ในความหิวกระหาย แต่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้เป็นผู้นำทางสว่างไสวแก่เทวดาและมนุษย์ มีภพชาตินี้เป็นภพสุดท้าย มีพระจักษุแสดงธรรมอยู่ เชิญแม่ตั้งใจฟังธรรมเถิด ลูกทั้งสองจะอดทน ไม่ร้องส่งเสียงดังอีกต่อไป”
เมื่อนางยักษิณีพร้อมด้วยยักษ์ลูกชาย ยืนฟังธรรมอยู่ด้วยความตั้งใจ ในที่สุดนางและลูกชาวก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล และนางยักษิณีก็ได้ละจากอัตภาพที่มีฝีและหิตขึ้นตามตัว และเสวยทิพยสมบัติพร้อมกับลูกๆทั้งสองของนาง ถึงแม่ว่าลูกสาวของนางจะไม่ได้บรรลุธรรม เพราะยังเด็กเกินไป แต่ก็ได้เสวยสมบัติด้วยเพราะอานุภาพของนางยักษิณี และนางแล้วลูกๆก็ได้อาศัยอยู่ในต้นไม้ ซึ่งอยู่ใกล้กับคันธกุฎี ทำให้นางและลูกของนางได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมทั้งเช้าเย็น ทำให้รัศมีกายและวิมานสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ
และนี่ก็เป็นเรื่องของยักษ์ที่พ้นจากอัตภาพอันลำบากยากเข็ญ เพราะบุญที่เกิดจากการฟังธรรม บาปอกุศลที่ตัวเคยทำไว้หยุดการทำงานชั่วคราว เพราะบุญได้ช่อง ขนาดตกไปอยู่ในอัตภาพที่ไม่เหมาะต่อการทำความดี ยักษ์หรือปีศาจเหล่านั้นยังสามารถเปลี่ยนวิกฤติชีวิตให้เป็นโอกาสในการบรรลุธรรมได้ เพราะฉะนั้นพวกเราได้อัตภาพของการเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ได้กายที่เหมาะสมต่อการสั่งสมบุญได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็อย่าประมาท อย่าชะล่าใจ ให้ทุ่มเททำบุญให้เต็มที่ จนบาปทุกชนิดไม่มีโอกาสได้ช่อง