ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : พฤติกรรมที่ชักนำให้เสื่อม 


ธรรมะเพื่อประชาชน : พฤติกรรมที่ชักนำให้เสื่อม 

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP192_01.jpg

พฤติกรรมที่ชักนำให้เสื่อม

                โลกมนุษย์เป็นโลกแห่งการสร้างบารมี  เมื่อเรามีโอกาสได้กายมนุษย์นี้มาแล้ว เราก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า ใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ให้สมกับความยากที่ได้อัตภาพร่างกายนี้มาครอบครอง ด้วยการทำความดีให้ถึงพร้อมและละเว้นจากความชั่วทั้งหลาย เหมือนกองคาราวานของพ่อค้ามีทรัพย์มาก ที่ละเว้นหนทางเปลี่ยวอันน่าสะพรึงกลัว เพราะภัยบนหนทางชีวิตในสังสารวัฏนี้ มีอันตรายทุกย่างก้าว หากทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย อาจไปอบายได้ ถ้าจะให้ปลอดภัย ต้องงดเว้นจากบาปอกุศลทั้งมวล และตั้งใจประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ หรือโดยย่อ คือ หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา โดยเฉพาะการเจริญภาวนา ถือเป็นหัวใจทีเดียว ให้ขยันฝึกฝนอบรมใจให้หยุดให้นิ่งไปทุกๆ วัน เราย่อมจะสมปรารถนาในชีวิตกันทุกคน

 


 

                        มีพระพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“คนพาลเมื่อทำความชั่วย่อมเหิมเกริม ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลจึงเห็นว่าเป็นบาปเพราะได้ประสบทุกข์อันใหญ่หลวง บุคคลใดเมื่อสั่งสมบาปแม้ ทีละน้อยๆ บาปย่อมเพิ่มพูนและย่อมกระทำบุคคลนั้นให้เป็นคนพาลได้ ส่วนบัณฑิตพึงละจากบาป แล้วมุ่งกระทำที่สุดแห่งทุกข์”

 


                บุคคลใดแม้ยังไม่ได้ทำความชั่ว ไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นเป็นคนดีที่สมบูรณ์ เพียงไม่ได้ทำความชั่วเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ได้ทำความดีที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองและผู้อื่น ต่อเมื่อได้ลงมือทำความดีแล้วเท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนดี เพราะได้ละเว้นจากการทำชั่ว และตั้งใจทำความดีให้ถึงพร้อม แต่ถ้าจะให้ดีพร้อม ดียิ่งขึ้น ก็ต้องทำความดีด้วยใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส การเป็นคนดีที่สมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น คือ ต้องทำให้ครบหลักวิชชา ทั้งละชั่ว ทำดี และทำใจให้ใสๆ

 


                ในชีวิตประจำวันของเรา หากได้นำหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต ในทุกเรื่องทุกขั้นตอน คือ ไม่ว่าจะทำอะไร พยายามใคร่ครวญพิจารณา ชีวิตเราย่อมมีแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง แต่แม้เราจะได้ชื่อว่าเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม ถ้าพลาดไปทำในสิ่งที่ไม่ดีแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำไปเพราะความประมาทชะล่าใจ คิดว่าเป็นเพียงบาปเล็กๆ น้อยๆ จึงทำสิ่งนั้นบ่อยๆ จนคุ้นเคยเป็นอาจิณ เช่นนี้ย่อมทำให้ใจหมอง เป็นมลทินของใจ ซึ่งจะมีผลต่อคติที่ไปเมื่อยามละโลก

 


                เหมือนผ้าขาวที่มีจุดด่างกระจายไปทั่ว ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อย่าลืมว่า น้ำทีละหยดที่ตกลงมาในตุ่ม ยังสามารถเติมตุ่มให้เต็มได้ ฉันใด บาปกรรมแม้เพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้น มันพอกพูนได้ และสามารถพลิกชีวิตจากคนที่ดี ให้กลายเป็นคนไม่ดีได้ บางทีจากที่เคยเป็นบัณฑิตก็อาจกลายเป็นคนพาล บาปมันมีฤทธิ์มาก สามารถพลิกดีให้กลับกลายเป็นชั่วได้ ฉะนั้นต้องคอย ระวังบาปอย่าให้เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก้อย่าได้ไปทำอีกเด็ดขาด

 


                พระบรมศาสดาทรงปรารภเรื่องนี้ ในครั้งที่ทรงตรัสเตือนพระภิกษุ ๖ รูป ที่เรียกว่าพระฉัพพัคคีย์ อันได้แก่ พระเมตติยะ ภุมมชกะ อัสสชิ ปุนัพพสุกะ ปัณฑุกะ และโลหิตกะ ที่มักจะทำผิดพระวินัยเสมอ แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรทำ ท่านก็ทำ เพราะดูเบา และไม่สำรวมในความเป็นบรรพชิต พระภิกษุสงฆ์ เพื่อนสหธรรมิกต่างตักเตือนท่าน แต่ท่านก็ดื้อ เอาแต่ใจตัว  ทั้งยังสร้างปัญหาอันเป็นพฤติกรรมที่ชักนำไปสู่ความเสื่อม ที่ล่อแหลมต่ออบายภูมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงเมตตาจึงเรียกมากล่าวตักเตือนว่า “พฤติกรรมที่นำมาซึ่งความเสื่อมของพวกเธอนี้ เหมือนกับพฤติกรรมของนกกระไน”

 


                จากนั้นพระพุทธองค์ตรัสเล่าสตปัตตชาดก ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตชาติให้พระฉัพพัคคีย์และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้รับฟังกันเรื่องก็มีอยู่ว่า *ในกรุงพาราณสี มีกุฎุมพีผู้มั่งคั่งท่านหนึ่ง ได้ให้ชาวชนบทคนหนึ่งยืมทรัพย์ไป ๑,๐๐๐ กหาปณะ  เพื่อไปประกอบ ธุรกิจการค้า แต่ในกาลต่อมา กุฎุมพีท่านนี้ได้เสียชีวิตลง ภรรยาก็ได้ดูแลกิจการแทน และก็เป็นเจ้าหนี้คอยติดตามทวงหนี้ที่ถูกยืมไป ในรายของลูกหนี้ชาวชนบทนี้ เธอก็ได้ให้ลูกชายซึ่งกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม ไปตามทวงหนี้เพราะเธอไม่ค่อยสบาย และลูกหนี้ชนบทก็อยู่ห่างไกลมาก ต้องใช้เวลานานในการเดินทางหลายวันจึงจะไปถึง   ในระหว่างที่ลูกชายของเธอกำลังเดินทางไปนั้น อาการป่วยไข้ของเธอก็หนักมาก และในที่สุดก็ได้เสียขีวิตลง แต่ก่อนตายเธอยังห่วงทรัพย์ที่ที่หมายว่าจะได้จากการทวงหนี้ และก็ห่วงลูกชายด้วย จึงทำให้ตอนใกล้สิ้นใจ ใจของเธอหมอง จึงไปเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอก

 


                ลูกชายเมื่อตามไปทวงทรัพย์ได้แล้ว ขากลับจะต้องเดินทางลัดป่าใหญ่ ซึ่งตนไม่เคยทราบมาก่อนว่า ในดงนี้เป็นที่อยู่ของโจร ๕๐๐ ในขณะที่กำลังจะเข้าสู่หนทางเปลี่ยว สุนัขจิ้งจอก ที่เป็นอดีตมารดาของตัวก็มาดักรออยู่ โดยมายืนขวางทางไว้ เอาเท้าตะกุยดิน เห่าเหมือนจะบอกสัญญาณให้ทราบถึงอันตรายข้างหน้า แต่มาณพหนุ่มก็ไม่เข้าใจ และไม่ได้เฉลียวใจ ซ้ำยังกลับคิดว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนี้เป็นอัปมงคลมาขวางทางเรา จึงเอาก้อนดินขว้างใส่ เพื่อขับไล่ไป สุนัขจิ้งจอกจำต้องหลบหนีไป แต่ก็ยังห่วงใย

 


                มาณพหนุ่มเดินทางเข้าป่าไปเลื่อยๆ  ได้เห็นนกกระไนตัวหนึ่งบินตรงมาแล้วก็ร้องส่งเสียงดัง แต่มาณพนี้กลับเข้าใจว่า นกตัวนี้ร้องเสียงไพเราะเป็นมงคลแก่เรา จึงหยุดยืนยกมือไหว้ทีหนึ่ง แล้วก็เดินต่อไป แต่อันที่จริงนกตัวนี้เป็นสายให้กับพวกโจร มันบินไปบอกพวกโจรให้มาจับตัวมาณพหนุ่ม พวกโจรก็รุมกันจับตัวมาณพและพามาพบหัวหน้าโจร ซึ่งในชาตินั้น พระโพธิสัตว์เสวยวิบากกรรมเป็นหัวหน้าโจร พระโพธิสัตวถามถึงเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะถูกจับมา และเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดโดยตลอด พระโพธิสัตว์ก็รู้ทันที ด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมลึกซึ้ง ยากที่จะหาใครเทียบได้

 


                แล้วก็ได้กล่าวกับมาณพว่า “เจ้าช่างไม่รู้อะไรเลย นกกระไนตัวนี้เป็นสายให้โจร เป็นตัวอันตรายสำหรับเจ้า เพราะจะนำเจ้ามาสู่ความหายนะ แต่เจ้ากลับไปยกมือไหว้มันอีก  ส่วนสุนัขจิ้งจอกตัวที่เจ้าขับไล่ไปนั้น คือ อดีตมารดาของเจ้านั่นเอง นางมาเตือนภัยที่จะเกิดขึ้นกับเจ้า เพราะความห่วงใย ตอนนี้นางได้เสียชีวิตไปแล้วและมาเกิดเป็นสุนัขตัวนั้น ฉะนั้นเจ้าจงนำทรัพย์ก้อนนี้กลับไป และก็จัดการงานศพมารดาของเจ้าเสีย เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่านเป็นครั้งสุดท้าย” ว่าแล้วก็ปล่อยมาณพหนุ่มนี้ไป

 


                จากเรื่องนี้ก็มีข้อคิดหลายอย่างที่แฝงอยู่ ทั้งเรื่องกฎแห่งกรรม ความสำคัญของใจในช่วงสุดท้ายตอนศึกชิงภพ และเรื่องความฉลาดในการสอบสวนทวนความ จนสามารถรู้ถึงเหตุที่แท้จริงจากผลที่เกิดขึ้น เรื่องการเป็นคนช่างสังเกต รวมถึงการดูให้ออกว่าใครเป็นพาล เป็นบัณฑิต เป็นมิตรหรือศัตรู นี่ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ มาณพหนุ่มอาจจะถูกชิงทรัพย์หรือถูกฆ่าตายไปแล้ว

 


                และข้อที่น่าสังเกต คือ ตอนที่มาณพหนุ่มกำลังมีภัย เพราะนกกระไนส่งเสียงร้องไพเราะ แต่ว่าเขากลับดูไม่ออก ตรงนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้เราพึงสังวรว่า อย่าได้หลงเคลิบเคลิ้มไปกับคนที่มีวาทศิลป์ ฉลาดในการพูดเอาอกเอาใจ ประจบสอพลอ ช่างพูดช่างคุยรู้จักยกยอปอปั้น ยกย่องสรรเสริญ ให้ระวังให้ดี เพราะอาจชักนำเราไปในทางเสื่อมเสียได้ ต้องตั้งสติ ใช้ปัญญา ไม่เช่นนั้นเราจะต้องช้ำใจในภายหลัง  

 


                หรืออย่างสุนัขจิ้งจอกที่เห่ามาณพนั้น ซึ่งอาจจะดูเหมือนหยาบคาย รุนแรง แต่ว่าจริงใจ ปรารถนาดี ตรงนี้ก็ต้องแยกแยะให้ออก ซึ่งการที่เราจะมีปัญญาลึกซึ้ง แยกแยะถึงขั้นนั้นได้ ก็ต้องมีสมาธิดี มีใจละเอียด ซึ่งต้องฝึกสมาธิให้มากๆ เพราะสมาธิเป็นบ่อเกิดของปัญญาและความรู้แจ้ง เราจะรู้เห็นอะไรไปตามความเป็นจริงได้ ต่อเมื่อได้เข้าถึงพระรัตนตรัยเท่านั้น

 

*มก. สตป’ตตชาดก เล่ม ๕๘ หน้า ๒๒๖

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (คุณครูไม่ใหญ่)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล