Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 08
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอับพิสังฆคาถาไว้ว่า
เนว ทุฏเฐ นโย อตฺถิ
น ธมฺโม น สุภาสิตํ
นิกฺกมํ ทุฏเฐ ยุญเชถ
โส จ สพฺภิ น รชฺชตี
คนโหดร้ายไม่มีเหตุผล ไม่มีถ้อยคำเป็นสุภาษิต ในคนโหดร้าย บุคคลพึงทำการหลบหลีกไป เพราะคนใจโหดเหี้ยมไม่ยินดีคำของคนดี
การใช้วาจาสุภาษิตสื่่อสารกับบุคคลรอบข้าง นับเป็นการสื่อสารที่มีคุณภาพ วาจาสุภาษิตถือว่ามีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในการสนทนาหรือไกล่เกลี่ยปัญหาต่างๆ ซึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจของสองฝ่าย แต่วาจาสุภาษิตจะไร้ผลในหมู่คนพาล ในบุคคลผู้ประทุษร้ายมิตร ไม่ว่าเราจะเจรจาดีเพียงใด จะใช้เหตุผลดีขนาดไหน ผู้ที่มุ่งหมายคอยแต่จะทำร้ายคนอื่นนั้น ก็ไม่ยอมรับฟังอยู่ดี เพราขณะนั้นใจของเขามืดบอด ไม่สามารถที่จะรับฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เหมือนดังเรื่องของจอมโจรโปริสาท ผู้ถูกอกุศลเข้าสิงจิตไม่เชื่อคำแนะนำของผู้ปรารถนาดี
โปริสาทได้สาบานว่าถ้าหากแผลหายภายในเจ็ดวันจะฆ่ากษัตริย์หนึ่งร้อยหนึ่งพระองค์เพื่อนำมาบวงสรวงต้นไทรใหญ่นี้ ความจริงเทวดาไม่ได้บันดาลหรือช่วยเหลืออะไรเลย
เพียงแต่โปริสาทรู้จักหายามาสมานแผล ทำให้แผลหายภายในเจ็ดวัน แต่เข้าใจผิดคิดว่าที่แผลหายเร็วเป็นอานุภาพของเทวดา ครั้นได้กินเนื้อมนุษย์อยู่สองสามวัน พละกำลังก็กลับมาเหมือนเดิม โจรโปริสาทคิดว่าจะต้องแก้บนกับเทวดาตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ จึงถือดาบคู่ใจเดินทางออกจากป่าเพื่อไปจับพระราชาทั่วชมพูทวีป
สมัยนั้นมียักษ์ตนหนึ่งได้เหาะผ่านมา พบโปริสาทก็จำได้ว่าเป็นอดีตสหายรักในชาติก่อน แทนที่จะจับไปกินเป็นอาหาร กลับเข้าไปสนทนาทำความสนิทสนม ได้เล่าเรื่องอดีตชาติให้ฟังจนหมด เมื่อโจรโปริสาทได้ฟังแล้วก็ขอความช่วยเหลือให้ยักษ์ไปช่วยจับกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ให้ เนื่องจากยักษ์ต้องรีบไปรับใช้ท้าวเวสสุวรรณจึงตอบปฏิเสธ
กระนั้นด้วยความเป็นเพื่อนเก่า ยักษ์จึงให้โจรโปริสาทเรียนมนต์ปทลักขณะ มนต์นี้มีอำนาจทำให้ผู้เรียนมีกำลังมากขึ้น สามารถวิ่งได้เร็วขึ้น ถ้าหากเรียนสำเร็จก็จะไม่มีใครสามารถไล่ตามจับได้ โจรโปริสาทใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถจดจำมนต์ได้หมด จากที่เคยวิ่งเร็วไม่มีใครตามทันอยู่แล้ว ยิ่งได้อาศัยกำลังมนต์เข้าช่วยก็ยิ่งวิ่งได้เร็วเหมือนลมพัด มีพละกำลังมากเหมือนช้าง
จากนั้นโปริสาทก็ออกจากป่าด้วยความมั่นใจวิ่งไปด้วยความเร็ว จับพระราชาทั่วชมพูทวีปได้วันละสิบพระองค์บ้าง ยี่สิบพระองค์บ้าง ใช้เวลาเพียงเจ็ดวันก็สามารถรวบรวมได้ครบหนึ่งร้อยพระองค์โดยไม่มีใครขัดขวางได้เลย
สำหรับพระเจ้าสุตโสมนั้น โจรโปริสาทไม่ได้จับมาด้วยเพราะคิดว่าเคยเป็นทั้งพระสหายรักและอาจารย์ช่วยสอนศิลปะวิทยา อีกทั้งเกรงว่าขืนจับมาหมดชมพูทวีปก็จะร้างจากกษัตริย์ ความวุ่นวายก็จะเกิดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อได้กษัตริย์มาหนึ่งร้อยพระองค์แล้วก็เริ่มทำพลีกรรม โดยได้เริ่มก่อกองไฟขึ้น
จากนั้นก็นั่งเหลาหลาวอยู่ตามลำพัง การกระทำของโจรโปริสาทนี้อยู่ในสายตาของรุกขเทวาที่ตนเองจะทำการบวงสรวงตลอดเวลา ฝ่ายรุกขเทวาเองก็ไม่ได้ยินดีกับการบวงสรวงด้วยเลือดจากลำคอของกษัตริย์เหล่านี้เลย
และก็ไม่คิดว่าโจรโปริสาทจะมีความสามารถจับพระราชาทั่วชมพูทวีปมาได้อย่างง่ายดาย จึงคิดหาทางแก้ไขโดยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้ท้าวมหาราชทั้งสี่ฟัง พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือให้ไปช่วยระงับเหตุการณ์นี้ด้วย เมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่ตอบว่าไม่สามารถห้ามโปริสาทได้ ให้ลองไปปรึกษาท้าวสักกเทวราชดูเถิด
รุกขเทวาจึงเหาะเข้าไปเฝ้าจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้กราบทูลถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นในชมพูทวีป แม้ท้าวสักกเทวราชก็ตรัสว่าพระองค์ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพียงแต่ตรัสบอกถึงบุคคลที่สามารถแก้ไขเหตุการณ์นี้ได้ โดยตรัสบอกกุศโลบายว่า ถ้าท่านจะช่วยพระราชาทั้งชมพูทวีปให้พ้นภัยก็จงไปบอกเจ้าโปริสาทว่าพิธีกรรมครั้งนี้จะครบถ้วนสมบูรณ์ต้องนำพระเจ้าสุตโสมมาทำพิธีกรรมด้วย
ที่ท้าวสักกะตรัสบอกเช่นนี้เพราะทรงเห็นว่ามีเพียงพระเจ้าสุตโสมคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ รุกขเทวาครั้นได้ฟังกุศโลบายจากจอมเทพแล้วก็รีบกลับลงมาเนรมิตตนเป็นบรรพชิตเดินผ่านด้านหลังโจรโปริสาท พอโจรโปริสาทได้ยินเสียงคนเดินก็นึกว่ามีพระราชาบางพระองค์กำลังจะหลบหนีไป
เมื่อหันไปดูเห็นเป็นบรรพชิตเดินผ่านไปจึงคิดว่า แม้บรรพชิตก็มีศักดิ์เท่ากับกษัตริย์ จะจับบรรพชิตรูปนี้มาทำพลีกรรมให้เต็มจำนวน ๑๐๑ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นถือดาบไล่ล่า แม้จะวิ่งตามไปไกลถึงสามโยชน์จนเหงื่อโทรมตัวก็ไม่ทันสักที เลยทำให้คิดว่าเมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า กำลังวิ่งอยู่ เรายังวิ่งไล่ตามจับมาได้ทั้งนั้น วันนี้แม้เราวิ่งจนสุดกำลังก็ยังไม่อาจจะจับบรรพชิตผู้เดินไปโดยปกตินี้ได้
จึงร้องตะโกนให้หยุด รุกขเทวาในร่างของบรรพชิตกล่าวว่า โปริสาท เราน่ะหยุดแล้ว โจรโปริสาทหงุดหงิดมาก ร้องตะโกนไปว่า ธรรมดาว่าบรรพชิตเป็นผู้มีศีลมีวาจาสัตย์ แม้ตายก็ไม่ยอมพูดเท็จ ส่วนท่านพูดเท็จทั้งๆที่รู้ เพราะตัวท่านนั้น เรากล่าวว่าจงหยุด ก็ยังเดินไม่เหลียวหลัง
ท่านไม่ได้หยุด แต่กลับกล่าวว่าหยุดแล้ว ดูก่อนสมณะ ดาบของเราท่านเข้าใจว่าเป็นขนนกกระสาหรือไง บรรพชิตแปลงก็ได้โต้กลับไปว่า อาตมาเป็นผู้หยุดแล้ว คือตั้งอยู่ในธรรมของตัวเอง ประพฤติกุศลกรรมบถสิบประการ ไม่ได้เปลี่ยนนามและโคตรเหมือนพระองค์
แต่ก่อนพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่าพรหมทัต ได้ทรงละพระนามนั้นเสียแล้ว เปลี่ยนมาใช้ชื่อโปริสาท แม้อุบัติในขัตติยสกุลก็ยังกินเนื้อมนุษย์ ซึ่งเป็นของที่ไม่สมควร ท่านเปลี่ยนนามและโคตรของตน แต่อาตมาไม่ได้เปลี่ยนโคตรเหมือนท่าน โจรร้ายอย่างท่าน นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าไม่ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ เมื่อเคลื่อนจากโลกนี้แล้วต้องไปเกิดในอบาย
โจรโปริสาทฟังแล้วก็รู้สึกเฉยๆ เพราะอกุศลเข้าสิงจิตเสียแล้ว แม้เป็นนักบวชก็ไม่ฟัง สมดังพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า
คนโหดร้ายไม่มีเหตุผล ไม่มีถ้อยคำเป็นสุภาษิต ในคนโหดร้าย บุคคลพึงทำการหลบหลีกไป เพราะคนใจโหดเหี้ยมไม่ยินดีคำของคนดี
รุกขเทวาแม้จะใช้ปัญญาของตัวเองที่มีอยู่ด้วยการลงทุนเนรมิตร่างเป็นบรรพชิตมากล่าวสอนก็ไม่อาจกลับใจโปริสาทได้เลย ทำให้ตระหนักได้ว่าทำไมพระอินทร์จึงตรัสว่าแม้พระองค์ก็ช่วยไม่ได้ มีเพียงพระเจ้าสุตโสมเท่านั้นที่จะสามารถปราบจอมโจรโปริสาทนี้ได้ เพราะพระองค์เป็นผู้มีปัญญามากที่สุด