Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 16
พระอรรถกถาจารย์ได้พรรณาอานิสงค์ของการฟังธรรมไว้ว่า
สตฺถุโน สทฺธมฺมํ สุตฺวา สพฺพสฺมี ชินสาสเน
กปฺปานิ สตสหสฺสานิ ทุคฺคตี โส น คจฺฉติ
บุคคลใดได้สดับพระสัทธรรมของพระศาสดาในพระศาสนาของสมเด็จพระชินเจ้าทั้งปวง บุคคลนั้นย่อมไม่ไปสู่ทุคติตลอดแสนกัป
หมายความว่า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ แม้มีมากมายถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ แต่คำสอนหลักคือทรงสอนให้ละจากบาปอกุศลทุกชนิด ให้สั่งสมความดีทุกอย่าง และทำจิตให้ผ่องใส เมื่อตั้งใจฟังธรรมและน้อมนำไปปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง บุญที่เกิดจากการประพฤติธรรมนั้น จะเกื้อหนุนให้เราไม่ไปสู่ทุคติเลย
มีตัวอย่างของพระอริยเจ้าหลายองค์ที่หลวงพ่อเคยนำมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆว่า ตลอดแสนกัปนั้นท่านไม่ไปสู่ทุคติเลย จะเวียนวนอยู่ในสุคติภูมิอย่างเดียว อยู่ในมนุษยโลกและเทวโลกเท่านั้น
พอบารมีแก่กล้าภพชาติสุดท้ายนั่งสมาธิชั่วครู่ก็หลุดพ้นจากอาสวะกิเลส เป็นพระอรหันต์แล้ว นี่ก็เป็นเพราะอานิสงค์ของการฟังธรรม ครั้นฟังแล้วเกิดจิตเลื่อมใสจึงได้ทำบุญกับพระพุทธองค์ บุญนั้นจึงส่งผลต่อๆกันเรื่อยมายาวนานถึงหนึ่งแสนกัป
ความเดิมจากครั้งที่แล้ว หลวงพ่อได้เล่าถึงตอนที่พระโพธิสัตว์หลังจากสนทนากับจอมโจรได้ระยะหนึ่งแล้วทรงทราบว่า บัดนี้โจรโปริสาทมีจิตใจอ่อนโยนลงมาก เหมาะสมจะเป็นภาชนะรองรับธรรมะที่กำลังจะนำมาแสดง
จึงตรัสว่า “ดูก่อนสหายรัก ท่านจงตั้งใจเงี่ยโสตสดับให้ดี การสมาคมกับสัตบุรุษครั้งเดียวเท่านั้นสามารถรักษาผู้สมาคมนั้นไว้ได้ แต่การสมาคมกับคนพาลแม้หลายครั้งก็รักษาไม่ได้”
การสมาคมหมายถึงพฤติกรรมที่แสดงถึงการพูดหรือทำด้วยกัน เช่น ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมหุ้น ร่วมลงทุนทำธุรกิจ รับไว้เป็นเพื่อน รับเป็นภรรยาหรือสามี รับไว้ทำงาน เป็นต้น การให้ก็ได้ชื่อว่าสมาคม เช่น ให้ความไว้วางใจ ให้คำชมเชย ให้ยศ ให้ตำแหน่ง ให้หยิบยืมสิ่งของ เป็นต้น
ที่กล่าวว่าการคบหาสมาคมกับสัตบุรุษหรือบัณฑิตนั้นแม้เพียงครั้งเดียวก็สามารถรักษาผู้สมาคมนั้นไว้ได้ คือ รักษาบุคคลนั้นให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ทำให้รอดพ้นจากทุกข์ในอบาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสุคติภูมิแต่เพียงฝ่ายเดียว
ส่วนคบคนพาลแม้นานเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้เป็นคนดีขึ้นมาได้ ในทางตรงข้ามมีแต่ทำให้ชีวิตเสื่อมลง เพราะคนพาลชอบทำในสิ่งที่ผิด ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ แม้พูดดีๆก็โกรธ เมื่อคบคนพาลมีแต่จะติดเชื้อพาลไม่ได้ เหมือนใบไม้หอบราเน่า ใบไม้ก็มีกลิ่นเหม็นฟุ้งตามไปด้วย เพราะคนพาลมีลักษณะคิดชั่ว พูดชั่ว และก็ทำชั่วเป็นปกติ จึงควรหลีกเลี่ยงให้ห่างไกล
พระโพธิสัตว์ตรัสคาถาบทที่ ๒ ว่า
“บุคคลพึงคบกับสัตบุรุษ พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะการรู้สัจธรรมของสัตบุรุษย่อมมีแต่ความเจริญ ไม่มีความเสื่อม”
สัตบุรุษก็คือบัณฑิต คนทั่วไปมักเข้าใจว่าผู้ที่เรียนจบปริญญาคือบัณฑิต ความจริงแล้วเป็นบัณฑิตทางโลกเท่านั้น ยังไม่ใช่บัณฑิตที่แท้จริง เพราะผู้ที่ได้รับปริญญาแล้ว ถ้าความประพฤติไม่ดี อาจไปทำผิดติดคุกติดตารางได้ แต่บัณฑิตที่แท้จริงจะเป็นผู้ตั้งใจละชั่ว ประพฤติชอบ ประกอบแต่ความดี สามารถป้องกันตนให้พ้นจากทุกข์ในอบายได้ คือ ท่านจะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา มีสัมมาทิฐิเบื้องต้นครบบริบูรณ์ การคบสัตบุรุษคือการหมั่นไปมาหาสู่ หมั่นเข้าไปสนทนพูดคุย ให้ความเกรงอกเกรงใจต่อท่าน ฟังคำแนะนำ นำไปไตร่ตรอง และทดลองปฏิบัติตามนั้น เราก็จะได้พบแต่ความสุข ความเจริญในชีวิต เหมือนผ้าที่ห่อความหอม ก็พลอยหอมตลบอบอวนตามไปด้วย
พระโพธิสัตว์ตรัสคาถาบทที่ ๓ ว่า “ราชรถที่เขาทำให้วิจิตร ยังเก่าคร่ำคร่าได้ แม้สรีระก็เข้าถึงความชราได้เหมือนกัน แต่ธรรมของสัตบุรุษไม่เข้าถึงความชรา เรื่องนี้สัตบุรุษกับสัตบุรุษเท่านั้นที่รู้กันดี”
หมายความว่า ธรรมของสัตบุรุษเป็นอกาลิโก เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า ไม่ล้าสมัย ใหม่เสมอ ยิ่งน้อมนำไปปฏิบัติก็ยิ่งเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบุคคลนั้น
ส่วนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ หรือสังขารร่างกาย มีเวลาจำกัดในการใช้สอย เพราะต้องเน่าเปื่อย ผุพังไปตามกาลเวลา พระเจ้าสุตโสมตรัสคาถาบทสุดท้ายว่า “ฟ้ากับแผ่นดินอยู่ห่างไกลกัน สองฟากฝั่งของมหาสมุทรก็ยังกล่าวว่าไกลกัน ดูก่อนสหาย ธรรมของสัตบุรุษและของอสัตบุรุษ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ยังห่างไกลกว่านั้นมากนัก”
เนื่องจากคนพาลมักชักนำไปในทางที่เสื่อม ละโลกแล้วก็ต้องเสวยทุกข์ทรมาน ในอบายภูมิเป็นเวลายาวนาน ส่วนผู้ปฏิบัติตามคำของบัณฑิตก็ไปเสวยสุขอยู่ในสุคติภูมิ เป้าหมายสูงสุดคือนิพพานของบัณฑิตกับมหานรก ๘ ขุม โดยเฉพาะโลกันตนรกของคนพาลนั้นอยู่ห่างไกลกันมากทีเดียว
เมื่อโปริสาทได้ฟังแล้วก็คิดว่าคาถาที่พระเจ้าสุตโสมตรัสนั้นเป็นประหนึ่งว่าพระสัพพัญญูพุทธเจ้าตรัสเอง เพราะแสดงได้ไพเราะเสนาะโสตมาก จะหาฟังที่ไหนในโลกไม่มีอีกแล้ว ขณะที่คิดไปทั้งเนื้อทั้งตัวก็เกิดความปิติซาบซ่าน เกิดความเคารพในผู้แสดงธรรมอย่างสุดซึ้ง ประหนึ่งว่าเป็นพระชนกผู้ประทานเศวตฉัตร ทำให้ดำริว่า เราไม่มีเงินทองที่สามารถถวายพระเจ้าสุตโสมได้ แต่เราจะถวายพระพรคาถาละพา เพื่อเป็นการบูชาธรรม
ว่าแล้วก็กล่าวว่า "คาถาเหล่านี้ ล้วนมีประโยชน์ มีพยัญชนะดี พระองค์ตรัสได้ไพเราะ ข้าพเจ้าสดับแล้วมีมหาปิติปลื้มใจ ชื่นใจ อิ่มใจ ข้าพเจ้าไม่มีเงินทอง ไม่มีรัตนชาติที่ควรค่าแก่การบูชาธรรม จึงขอถวายพร ๔ อย่างแต่พระองค์แทน"
จะเห็นว่าการฟังธรรมของโจรโปริสาทเป็นเครื่องยืนยันว่าฟังธรรมแล้วปิดอบายได้นานหลายกัป เพราะอานิสงค์ฟังธรรม ทำให้ได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ฟัง ฟังแล้วก็เข้าใจชัดเจนมากขึ้น ขจัดความลังเลสงสัยลงได้ เป็นการทำความเห็นให้ตรง ทำให้จิตผ่องใส
การฟังธรรมเป็นเหมือนการส่องกระจกเงา ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นความสวยงามหรือริ้วรอยบนร่างกายได้ จากคนที่เคยเป็นมิจฉาทิฐิก็กลายเป็นสัมมาทิฐิบุคคล อยากทำตนให้หลุดพ้นจากบาป เมื่อจิตผ่องใส ใจแช่อิ่มอยู่ในบุญเหล่านี้ สุคติภูมิก็เป็นที่ไปอย่างเดียว ไม่ต้องไปสู่ทุคติ