Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โลหิจจสูตร 2 (ศาสดาที่ใคร ๆ ทักท้วงไม่ได้)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในโลหิจจสูตร ว่า
ศาสดาบางคนในโลกนี้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต ได้บรรลุประโยชน์ของการเป็นสมณะแล้วจึงแสดงธรรม สอนสาวกว่า เรื่องนี้เป็นประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลาย แต่สาวกไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับและไม่ประพฤติตามคำสอน เหมือนบุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้วสร้างเครื่องจองจำใหม่ ศาสดาประเภทนี้สมควรถูกทักท้วงในโลก และการทักท้วงศาสดานี้ก็เป็นความจริงแท้
ในโลกนี้มีผู้ประกาศตนเป็นเกจิอาจารย์เป็นเจ้าลัทธิมากมายเที่ยวสอนผู้อื่นที่มีจริต อัธยาศัยคล้ายกับตนให้มานับถือและเป็นสาวก ใครที่มีผู้มานับถือมาก มีสาวกมาก ก็ย่อมแสดงถึงความสามารถในการแนะนำสั่งสอน มีทั้งสอนถูกและสอนผิด ยากที่จะแยกแยะได้ว่าใครเป็นบุคคลผู้ที่สมควรเป็นศาสดาอย่างแท้จริง
เพราะศาสดาบางท่านได้บรรลุธรรมแต่สอนไม่เก่ง บางท่านไม่มีคุณวิเศษอะไรแต่สอนเก่งมาก แต่บางท่านทั้งไม่ได้บรรลุธรรมทั้งสอนก็ไม่เก่ง ฉะนั้นศาสดาทั้งหลายในโลกนี้จึงมีทั้งที่ควรถูกทักท้วงและก็ไม่ควรถูกทักท้วง
ครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าถึงพุทธวาทะในการแก้ข้อกล่าวหาขอโลหิจจพราหมณ์ผู้มีความเห็นไม่ถูกต้อง คือเห็นว่าเมื่อบรรลุธรรมแล้วไม่ควรแนะนำคนอื่นเพราะกิริยาเช่นนั้นเป็นความโลภ
เปรียบเสมือนการตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้วมาสร้างเครื่องจองจำใหม่ แต่พระพุทธองค์กลับมองในแง่ของประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับ เหมือนดังพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปกครองแคว้นกาสีและโกศล เมื่อพระองค์ทรงเสวยสุขอยู่ในราชสมบัติแล้ว ก็ควรมีมหากรุณาแก่พสกนิกรไม่หวงแหนทรัพย์สมบัติซึ่งเป็นความสุขที่พสกนิกรของพระองค์จะพึงมีพึงได้ เพราะพระราชาไม่แบ่งปันก็แสดงว่ามีความโลภ
ดังนั้นต้องดูที่เจตนาว่าเป็นความโลภหรือความเมตตา จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงลักษณะของศาสดา ๓ จำพวกที่ควรถูกทั้งท้วง
ศาสดาประเภทแรก คือ คนบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตยังไม่บรรลุจุดหมายแห่งความเป็นสมณะ แต่กลับแสดงคำสอนสาวกว่า เรื่องนี้เป็นประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลาย สาวกเหล่านี้ไม่ตั้งใจฟัง ไม่อยากรู้และหลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสอน
เหมือนบุรุษที่รุกไปหาสตรีที่ไม่มีใจให้ตนหรือบุรุษที่สวมกอดสตรีด้วยการใช้กำลังเข้าหาข้ออุปไมยนี้จัดว่าเป็นความโลภอันชั่วร้าย เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้ ศาสดาประเภทนี้สมควรถูกทักท้วงในโลก และการทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้เป็นธรรมไม่มีโทษ
ศาสดาประเภทที่สอง คือ คนบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ยังไม่บรรลุจุดหมายแห่งความเป็นสมณะ แต่กลับแสดงคำสอนสาวกให้รู้ถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ สาวกของเขาตั้งใจฟังเป็นอย่างดี มีความกระหายใคร่รู้ และตั้งใจประพฤติตามคำสอน เหมือนชาวนาที่ไม่เอาใจใส่ในที่นาของตนแต่เข้าใจนาของผู้อื่นว่าเป็นที่ควรบำรุง ศาสดาประเภทนี้สมควรถูกทักท้วงในโลก และการทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็เป็นความจริง
ศาสดาประเภทที่สาม คือ คนบางคนในโลกนี้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้บรรลุประโยชน์ของความเป็นสมณะแล้วจึงแสดงธรรมสอนสาวกว่า เรื่องนี้เป็นประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลาย แต่สาวกไม่ตั้งใจฟัง ไม่เงี่ยโสตสดับและหลีกเลี่ยงที่จะประพฤติตามคำสอน เหมือนบุคคลตัดเครื่องจองจำเก่าได้แล้วไม่ควรสร้างเครื่องจองจำขึ้นใหม่
ข้ออุปมัยนี้ก็เช่นเดียวกัน ธรรม คือความโลภนี้จัดว่าเป็นความชั่วร้าย เพราะไม่มีผู้รับคำสอนใดจะช่วยผู้สอนได้ ศาสดาประเภทนี้สมควรถูกทักท้วงในโลก และการทักท้วงศาสดาเห็นปานนี้ก็เป็นความจริงแท้ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว โลหิจจพราหมณ์ได้ตรัสถามว่า มีศาสดาประเภทอื่นอีกไหมที่ไม่ควรถูกทักท้วงในโลก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่ามี และตรัสถึงเรื่องราวของพระองค์ว่าทรงเสด็จอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่โลกอย่างไร ทรงแสดงธรรมงดงามเพียงไร ผู้ฟังธรรมแล้วมีศรัทธาเลื่อมใสออกบวช สมบูรณ์ด้วยศีล มีอินทรีย์สังวร มีสติสัมปชัญญะ สันโดษ อยู่ในที่อันสงัด ได้ฌาน ๔ และวิชชา ๘ ศาสดาอย่างนี้และสาวกอย่างนี้อันใครๆไม่ควรทักท้วง ใครทักท้วงก็เป็นการท้วงที่ผิด ไม่เป็นธรรมและประกอบไปด้วยโทษ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้วโลหิจจพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุรุษผู้หนึ่งดึงผมของบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังตกลงไปสู่เหวคือนรกไว้ ฉุดขึ้นมาแล้วให้ยืนอยู่บนปากเหว ข้อนี้ฉันใด ข้าพระองค์กำลังจะตกไปในเหวคือนรก พระโคดมผู้เจริญได้ยกขึ้นแล้วให้ยืนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยฉันนั้น เหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเสมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่าคนมีจักษุจักเห็นรูปฉันใด พระโคดมทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าโทษที่ถึงข้าพระองค์ผู้เป็นพาล เป็นคนหลง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ข้าพระองค์ได้ทักท้วงพระผู้มีพระภาคผู้เป็นศาสดาอันสาวกไม่ควรทักท้วงในโลก
และการท้วงพระผู้มีพระภาคนั้นก็ไม่เป็นความจริง ไม่ชอบธรรม เป็นการทักท้วงที่ประกอบไปด้วยโทษ ขอพระผู้มีพระภาคทรงอดโทษให้แก่ข้าพระองค์เพื่อความสำรวมต่อไปด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่าว่า เอาเถิดโลหิจจ โทษได้ถึงแก่ท่านผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง ผู้ไม่รู้เท่าถึงการณ์ ท่านได้ทักท้วงเราแต่ท่านได้เห็นโทษด้วยความเป็นโทษแล้ว จงกระทำคืนตามธรรมเถิด เราย่อมอดโทษให้ท่าน
นี่เป็นความเจริญในอายะวินัยนี้ ผู้เห็นโทษด้วยความเป็นโทษย่อมกระทำคืนตามธรรมย่อมเห็นความสำรวมต่อไป
จะเห็นได้ว่าพระบรมศาสดาของเรานั้นเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพระปัญญาธิคุณพระองค์ไม่ได้ทรงตำหนิแนวความคิดของโลหิจจพราหมณ์ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิโดยทันทีแต่ทรงใช้การเทศนาปาฏิหาริย์เพื่อให้เจ้าของความคิดเป็นผู้ตัดสินเองว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นเป็นความเห็นถูกหรือผิดให้กล้ายอมรับความจริงด้วยตัวเอง
เมื่อกล้ารับผิดก็จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ดังนั้นเราต้องศึกษาธรรมะให้แตกฉานและฝึกฝนตนเองให้มีไหวพริบปฏิภาณในการทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรแนะนำชาวโลกให้ละความเห็นผิดและให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง คือเส้นทางไปสู่สวรรค์และนิพพานกันทุกคน