Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน กลคนโกง
การสร้างบารมีเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องทำจนกว่าจะบรรลุจุดหมายปลายทาง ในระหว่างทางอาจจะมีปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เกิดขึ้นบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์กำลังใจของนักสร้างบารมี เพราะปัญหาทุก ๆ ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ่ม ถ้าใช้ปัญญา ปัญหาก็จะหมดไป ถ้าใจสงบก็จะพบทางออก ใจที่สงบจะเกิดปัญญารู้แจ้ง
เป็นปัญญาความรอบรู้อันบริสุทธิ์ที่จะทำให้ตัวเราและชาวโลกหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไปสู่อายตนนิพพาน การหมั่นฝึกฝนใจให้สงบหยุดนิ่งอยู่ภายใน จะทำให้เราเกิดปัญญาที่จะพิชิตปัญหา เราจะเข้าใจทุก ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นและรู้ไปถึงสาเหตุของมันและรู้วิธีการที่จะแก้ไขปัญหานั้น ดังนั้นการเจริญภาวนาจึงเป็นกรณียกิจสำคัญที่เราจะขาดไม่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในปุณณปาติกชาดก ความว่า
ไหเหล้ายังเต็มอยู่เช่นเดิม การกล่าวยกย่องคงเป็นคำไม่จริง เพราะอาการอย่างนี้เราจึงรู้ว่าเหล้านี้ไม่ดีจริง
นิสัยหรือความประพฤติของคนเราโดยปกติแล้วจะเรียบร้อย มีสติสัมปชัญญสมบูรณ์ แต่ถ้าหากยามใดได้ดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดจนเมาได้ที่แล้ว ก็จะทำให้นิสัยหรือความประพฤติที่เคยเรียบร้อยนั้นเปลี่ยนไปทันที สิ่งใดไม่เคยทำก็กล้าทำ จากที่เคยพูดจาอ่อนหวานก็กลายเป็นคนพูดจาหยาบคาย
ยิ่งขาดสติมากก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำให้ต้องทำผิดศีลข้ออื่นๆอีกอย่างไม่สะทกสะท้าน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้วก็ต้องไปสู่อบายภูมิ ต้องไปทุกข์ทรมานในมหานรกอีกยาวนาน ครั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นบ้า ปัญญาอ่อน ต้องสร้างความลำบากให้กับคนดูแลอีกมากมาย
สำหรับในวันนี้หลวงพ่อมีบุคคลตัวอย่างครั้นพุทธกาลมาเล่าให้ฟัง ท่านเป็นคนไม่ดื่มสุราและหนักแน่น ไม่หลงคารมขี้เมาที่มาชักชวนให้มาร่วมวงสุรา ในเมืองสาวัตถีมีกลุ่มขี้เมากลุ่มหนึ่งได้นั่งจับกลุ่มหารือกันว่า ขณะนี้เงินทองของพวกเราใกล้จะหมดแล้ว ต่อไปพวกเราจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อสุรามาดื่มกัน
ขี้เมาคนหนึ่งบอกว่าไม่ต้องห่วง มีวิธีการอยู่แล้วไม่ต้องกลัวอด พวกขี้เมาจึงซักถามด้วยความสนใจก็ได้รับรายละเอียดว่า พวกท่านเห็นมหาเศรษฐีที่เดินผ่านพวกเราไปเข้าเฝ้าพระราชาทุกวันหรือเปล่า เศรษฐีท่านนี้ใส่แหวนที่นิ้วมือหลายวง แต่ละวงก็ล้วนแต่มีค่ามาก
ถ้าหากพวกเราสามารถชักชวนให้ท่านมาร่วมดื่มสุราจนเมาหลับไปได้ พวกเราก็จะช่วยกันถอดแหวนและนำของมีค่าไปขาย แค่นี้พวกเราก็จะมีเงินซื้อสุรามาดื่มกินกันไปอีกนาน พวกขี้เมาได้ฟังวิธีการแล้วต่างก็เห็นดีเห็นงามที่จะมอมเหล้าเศรษฐี วันรุ่งขึ้นกลุ่มขี้เมาจึงมาตั้งวงรอท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีพร้อมกับสุราผสมยาสลบ เมื่อเห็นท่านเศรษฐีกำลังเดินออกจากวังก็ส่งคนมีคารมคมคายให้ไปเชิญ
ขี้เมาคนหนึ่งเมื่อได้รับความไว้วางใจก็ได้เข้าไปเชื้อเชิญว่า “ท่านมหาเศรษฐี เชิญท่านมาทางนี้ก่อน ได้โปรดไปดื่มสุรารสเลิศเพื่อเป็นเกียรติให้กับพวกกระผมหน่อยเถิด” เนื่องจากท่านเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน มีศีล ๕ ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉะนั้นท่านไม่แตะต้องสุราอย่างเด็ดขาด แต่ด้วยความที่อยากจะสั่งสอนพวกขี้เมาจึงเดินเข้าไปที่วงสุราตามคำเชิญ
พอไปถึงก็สังเกตกิริยาอาการขี้เมาแต่ละคน จึงทราบทันทีว่ามีแผนการร้ายแอบแฝงอยู่ ขืนปล่อยให้พวกนี้อยู่ที่นี่ต่อไปคงนำแต่ปัญหามาให้คนที่อยู่แถวนี้ ต้องไล่พวกนี้ไปจากที่นี่ ว่าแล้วก็กล่าวขึ้นเป็นเชิงรู้ทันว่า “เจ้าพวกขี้เมา พวกเจ้าวางแผนการชั่ว แอบผสมยาสลบใส่ลงในไหเหล้าและชักชวนเราดื่มเพื่อจะรูดทรัพย์ของเราใช่ไหม ถ้าหากสุรามีรสเลิศสมดังที่พูดจริง ทำไมเหล้าจึงไม่พร่องเลย ถ้าหากในไหเหล้านี้ไม่มีอะไรผสมอยู่ พวกเจ้าคงจะดื่มหมดเกลี้ยงไปแล้ว”
จากนั้นท่านเศรษฐีก็สั่งคนใช้ขับไล่พวกขี้เมาไม่ให้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป ในวันต่อมาท่านเศรษฐีก็ได้ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรมและได้ทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า “ดูก่อนคฤหบดี ไม่ใช่มีแต่เฉพาะชาตินี้เท่านั้นที่ขี้เมากลุ่มนี้ต้องการจะหลอกลวงท่าน แม้ชาติที่แล้วก็ปรารถนาจะหลอกลวงบัณฑิตเช่นเราเหมือนกัน แต่ก็ประทุษร้ายเราไม่ได้”
เมื่อท่านเศรษฐีอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต พระพุทธองค์จึงตรัสให้ฟังว่า ในอดีตกาลเมื่อครั้นที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นมหาเศรษฐี สมัยนั้นมีพวกขี้เมาได้ปรุงสุราผสมยาสลบเพื่อจะให้ท่านมหาเศรษฐีดื่ม จึงได้พากันไปดักรอท่านมหาเศรษฐีซึ่งจะไปเข้าเฝ้าพระราชาทุกวัน
ครั้นพวกขี้เมาเห็นท่านเศรษฐีกำลังเดินมา ก็ทำทีพูดชักชวนให้ท่านมาร่วมดื่มด้วย แต่ท่านมหาเศรษฐีสังเกตเห็นพิรุธจึงคิดว่าพวกนี้ต้องมีเจตนามุ่งร้ายต่อเราอย่างแน่นอน เพื่อความแน่ใจว่าขี้เมาเหล่านี้มีเจตนาร้ายจริงไหม จึงทำเป็นให้สัญญาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รอให้เรากลับจากการเข้าเฝ้าพระราชาก่อนแล้วค่อยมาร่วมดื่มสังสรรค์กับพวกท่านทีหลัง เพราะการดื่มสุราก่อนไปเข้าเฝ้าพระราชาดูแล้วไม่เหมาะสม
ครั้นมหาเศรษฐีกลับจากการเข้าเฝ้าพระราชาแล้ว พวกขี้เมากล่าวเชื้อเชิญด้วยความพินอบพิเทา เมื่อท่านมหาเศรษฐีเดินไปถึงวงเหล้า สำรวจดูไหเหล้าที่เตรียมเอาไว้ รู้ว่าพวกนี้ต้องการมอมเหล้าท่าน
จึงพูดข่มขู่ว่า พวกเจ้าดีแต่พูดว่าสุรามีรสชาติดี ก่อนไปสุราในไหยังเต็มอยู่อย่างไร ตอนนี้ก็ยังเต็มอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเรื่องที่แปลกมาก พวกเจ้ารวมหัวกันวางยาหวังรูดทรัพย์เราใช่ไหม เมื่อพวกขี้เมารู้ว่าท่านเศรษฐีรู้ทันแผนการจึงยอมรับผิด ได้ขอโทษต่อท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้สั่งสอนขี้เมาว่าอย่าได้ไปทำกับใคร ว่าแล้วขับไล่ไปไม่ให้กลับมาเห็นหน้าอีก
จากเรื่องนี้เราก็จะเห็นว่าพวกที่ดื่มน้ำเมาเป็นนิสัยก็ต้องการดื่มเป็นประจำและต้องหามาให้ได้ โดยไม่มีความคิดที่จะเลิก ทั้งที่ตนเองหมดเงินทองที่จะหาซื้อแล้ว ถ้าหากหาไม่ได้ก็จะทำการหลอกลวง ข่มขู่ หรือปล้นจี้ มุ่งหวังจะได้ทรัพย์มา โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น บางคนถึงกับทำร้ายบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าก็มี เหล้าเบียร์ทุกชนิดเมื่อดื่มแล้วล้วนนำพิษภัยเข้ามาสู่ผู้ดื่ม
นำปัญหามาสู่ครอบครัวและสังคมโลกอย่างเดียว ตั้งแต่ต้องเสียทรัพย์ที่หามาได้อย่างยากลำมาก เสียน้ำเหงื่อเพื่อแลกกับน้ำเมา เมื่อดื่มแล้วก็ขาดสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ต้องก่อการทะเลาะวิวาท ครั้นดื่มมากเข้าโรคร้ายก็จะรุมเร้าทันที ตั้งแต่โรคตับแข็ง โรคความดันสูงเป็นต้น เราทราบกันดีว่าคนขี้เมาเป็นบุคคลที่สังคมติเตียน เมื่อไปที่ไหนก็มักจะนำความเดือดร้อนไปให้
เมื่อเมาได้ที่ หิริโอตัปปะก็หายหมด หมดความละอาย ไม่มีความเกรงกลัวต่อบาปกรรม เพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ สุราเป็นน้ำเมาที่ทำสมองเสื่อมคุณภาพ จากเดิมที่มีความคิดความอ่านแจ่มใส มองทะลุปรุโปร่ง คิดอะไรได้ฉับไว พอโดนฤทธิ์น้ำเมาเข้าไปก็ทำให้มึน ๆ ทึม ๆ ตื้อๆ ตัน ๆ คิดอะไรก็ไม่ออก จนเป็นเหตุให้เสียการเสียงาน ทั้งหมดที่หลวงพ่อยกขึ้นมากล่าวนี้เป็นเพียงโทษทันตาเห็นในปัจจุบันเท่านั้น
แต่โทษหลังจากตายแล้วไม่ต้องพูดให้ถึง ทั้งคนผลิต คนขาย นักคิด นักโฆษณา และผู้บริโภคทั้งหลาย บุคคลกลุ่มนี้จะต้องไปเสวยทุกข์แสนสาหัสในมหานรกขุมที่ ๕ คือมหาโรรุวมหานรก โดยกรอกน้ำกรดสีดำไปอีกยาวนาน ต่างก็ได้รับโทษทัณฑ์ทรมานแตกต่างกันออกไปจนกว่าจะหมดกรรม
ฉะนั้นเมื่อเราได้รู้จักโทษของน้ำเมาแบบนี้ อย่าได้ไปดื่มหรือไปข้องเกี่ยวกับน้ำเมาโดยเด็ดขาด ใครที่ยังดื่มเหล้าอยู่ก็ต้องหักดิบ ตัดใจเลิกเหล้ากันให้ได้