ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ทำบุญให้ถูกหลักวิชา


ธรรมะเพื่อประชาชน : ทำบุญให้ถูกหลักวิชา

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP_123_01.jpg

ทำบุญให้ถูกหลักวิชา

                       วัตถุประสงค์ของชีวิตคือเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง มิใช่เพื่อมาทำอย่างอื่น ใครทำความดีก็มีความสุขเป็นผล ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตส่วนผู้ที่ทำบาปอกุศลเอาไว้ ก็จะได้รับผลกรรมเสวยวิบากกรรมทุกข์ทรมาน บุญกุศลที่ทำไว้ไม่ได้หนีหายไปไหนนะจ๊ะ จะติดตามตัวเราไปเนี่ยเหมือนเงาตามตัว บาปกรรมที่ทำเอาไว้ก็เปรียบเสมือนล้อเกวียนที่หมุนตามบทขยี้รอยเท้าโค ไม่มีใครสามารถจะหลีกพ้นบาปกรรมที่ได้ทำเอาไว้ พระพุทธองค์จึงสอนให้ละชั่วก่อน แล้วก็ทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ให้ใจใสสะอาดบริสุทธิ์ จะได้พบที่พึ่งที่ระลึกภายใน คือพระรัตนตรัย

 

 

      DhammaPP_123_06.jpg          

                         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในติโรกุฑฑสูตรว่า
                                    อะทาสิ เม อะกาสิ เม  ญาติมิตตา สะขา จะ เม.
                                    เปตานัง ทักขินัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง.

                       กุลบุตรเมื่อหวนระลึกถึงอุปการะคุณ ที่ท่านทำแล้วในการก่อนว่า คนโน้นได้ให้สิ่งของแก่เราแล้ว คนโน้นได้ทำอุปการะคุณแก่เราแล้ว ญาติมิตรและสหายได้ให้สิ่งของแก่เรา และได้ช่วยทำจิตของเราดังนี้ พึงให้ทักษิณาทานแก่เปรตทั้งหลาย 

 

DhammaPP_123_.07.jpg

                       ทักษิณาทานหมายถึง การทำบุญด้วยวัตถุสิ่งของแด่ภิกษุสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้วายชนปรารถนามากที่สุด เพราะบุญนั้น จะตามส่งผลให้หมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แม้ตกไปในอบาย หากมีบุญมากก็สามารถส่งผล ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในอบายได้ หรือหากบังเกิดในสุคติภูมิอยู่แล้ว ก็จะมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ญาติเหล่านั้น ก็จะได้เป็นเจ้าของสมบัติใหญ่ ที่เราอุทิศไปให้ 

 

 

 

DhammaPP_123_05.jpg

                       การทำบุญและก็อุทิศส่วนกุศลแก่บุคคลผู้ละโลกไปแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของหมู่ญาติผู้ยังมีชีวิตอยู่ บางทีในสมัยที่ญาติของเรายังมีชีวิตอยู่ เราอาจเห็นเขาใจดี คอยช่วยเหลือเราหลายอย่าง แต่ก็ไม่ทราบว่า ญาติของเราน่ะเคยประมาทพลาดพลั้ง ไปทำบาปอกุศลอะไรเอาไว้บ้าง ดวงบุญในตัวที่จะส่งผลให้ ได้ไปบังเกิดในสุคติสวรรค์ ก็ไม่ทราบว่ามีมากน้อยเพียงไร เพื่อความมั่นใจในการเดินทางไปสู่สัมปรายภพของหมู่ญาติ หรือเมื่อนึกถึงคุณความดีของท่านเหล่านั้น ก็ควรหาโอกาสทำบุญ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับหมู่ญาติของเรานะจ๊ะ

 

 

DhammaPP_123_08.jpg

                       มีเรื่องเคยเกิดขึ้นในอดีตในกัป ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ได้มีพระโอรสสามพระองค์ ซึ่งเป็นพี่น้องกันมีความศรัทธาเลื่อมใส อยากจะทำบุญใหญ่ถวายสังฆทานตลอด ๓ เดือนกับพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปุสสะ พร้อมด้วยพระอรหันตสาวก เนื่องจากอยากได้บุญมากคือผู้ให้ก็บริสุทธิ์ ผู้รับก็บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ทั้งทายกและปฏิคาหก  

 

 

DhammaPP_123_09.jpg

                       สามพี่น้องจึงมอบหมายให้ขุนคลัง เป็นผู้ดูแลการเบิกจ่ายเงิน ในการสร้างมหาทานบารมี ส่วนพระโอรสก็พากันนุ่งขาวห่มขาวสมาทานศีล ๘ พร้อมกับบุรุษ ๑,๐๐๐ คน ได้พากันอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ด้วยความเคารพ

 

 

DhammaPP_123_10.jpg

                       นายเสมียนเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดแจงมหาทานด้วยความเคารพ ท่านได้ชวนหมู่ญาติในชนบทพร้อมด้วยชาวบ้าน ๑๑,๐๐๐ คน มาช่วยกันทำอาหาร แต่เนื่องจากหมู่ญาติและชาวบ้านบางกลุ่มไม่ได้มาเพราะมีศรัทธาทำอาหาร ทำอาหารไปก็แอบกินของพระไปด้วย เก็บตุนอาหารที่ดีๆ เอาไว้ กลับไปกินที่บ้านบ้าง ส่วนผู้มีศรัทธาอยู่แล้วก็ตั้งใจถวายทานด้วยความเลื่อมใส 

 

 

DhammaPP_123_11.jpg


                       เมื่อละจากอัตภาพนั้น และโอรสสามพี่น้อง นายเสมียนและหมู่ญาติผู้ถวายทานด้วยความเคารพได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ส่วนผู้ที่ไม่เคารพในทาน ขโมยของที่จะถวายพระ ได้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรก เสวยความทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนานเช่นกัน 

 

 

DhammaPP_123_14.jpg

                        ครั้นมาในภัทรกัปนี้ เริ่มตั้งแต่ในสมัยของพระกกุสันธพุทธเจ้า หมู่ญาติของนายเสมียนได้พ้นจากสัตว์นรก มาเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหย ส่วนเปรตญาติของนายเสมียนอยากพ้นจากอัตภาพนั้น จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลถามว่าเมื่อไหร่จะพ้นจากอัตภาพเปรตนี้เสียที พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ท่านยังไม่พ้นในยุคนี้หรอก แต่ในอนาคตเมื่อแผ่นดินนี้หนาขึ้น ๑ โยชน์จะมีพระโกนาคมนพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ให้พวกท่านน่ะไปถามพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเถิด

 

 

DhammaPP_123_16.jpg

                        พวกเปรตได้ฟังแล้วก็ปิติดีใจ รอคอยด้วยความหวัง ละคนกับความทุกข์ทรมาน ตั้งหน้าตั้งตารอคอยไปอีก ๑ พุทธันดร เมื่อแผ่นดินหนาขึ้น ๑ โยชน์ พระโกนาคมนพุทธเจ้า ได้เสด็จอุบัติขึ้น พวกเปรตก็พากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ได้รับคำตอบว่าให้รอไปก่อน เมื่อใดแผ่นดินนี้หนาขึ้น ๑ โยชน์แล้วจึงค่อยเข้าไปถามพระกัสสปพุทธเจ้า เปรตก็อดทนรอไปอีก ๑ พุทธันดร

 

 

DhammaPP_123_15.jpg

                      ครั้นมาในยุคของพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ได้รับพยากรณ์ว่า ให้รอไปอีก ๑ พุทธันดร ญาติของท่านซึ่งเคยทำบุญร่วมกันมาในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ จะจุติจากสวรรค์ มาเป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร เมื่อพระราชาทำบุญแล้ว จะอุทิศส่วนกุศลแก่พวกท่าน พวกเปรตได้ยินพุทธพยากรณ์เช่นนั้นก็ดีใจ เหมือนว่าตัวเองจะได้พ้นจากความทุกข์ทรมานในวันรุ่งขึ้น

 

 

DhammaPP_123_.17.jpg

                       ครั้น ๑ พุทธันดรผ่านไป พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงอุบัติขึ้นในโลก ราชบุรุษทั้ง ๓ พร้อมด้วยบุรุษ ๑,๐๐๐ คน ได้จุติจากเทวโลกมาเกิดในสกุลพราหมณ์ในแคว้นมคธรัฐ พากันบวชเป็นฤาษี เป็นชฎิล ๓ พี่น้อง

 

 

DhammaPP_123_.03.jpg

                       ฝ่ายนายเสมียนได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระราชาได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ก็มีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ๑๑ นหุต ทรงมีกุศลศรัทธาแรงกล้า ทรงถวายวิหารเวฬุวันแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ส่วนพวกเปรตก็พากันมายืนล้อม ด้วยหวังว่าพระราชาจะอุทิศส่วนบุญให้ แต่พระราชาก็ไม่ได้อุทิศส่วนบุญ พวกเปรตเมื่อไม่ได้รับบุญก็พากันสิ้นหวัง ในเวลากลางคืนจึงพากันส่งเสียงร้อง คร่ำครวญหน้าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง บริเวณใกล้ๆ กับพระราชนิเวศน์ พระราชาทรงตกพระทัยในเสียงที่โหยหวน หน้าขนพองสยองเกล้าเช่นนั้น รุ่งช้าก็รีบเสด็จไปกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า 

 

 

 

DhammaPP_123_19.jpg

                       เมื่อทรงทราบต้นสายปลายเหตุแล้ว ก็ได้ถวายทาน พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลไปให้กับเปรตผู้เคยเป็นญาติของพระองค์ ท่านทีที่กล่าวคำอุทิศส่วนกุศลเสร็จ สระโบกขรณี อันดารดาษด้วยดอกบัว ได้บังเกิดขึ้นกับพวกเปรต เปรตพากันอาบและดื่ม ในสระโบกขรณีนั้น ได้ระงับความหิวกระหายเป็นผู้มีกายงดงามดั่งทองคำ ของขบเคี้ยว ของบริโภคและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่พระองค์ทรงอุทิศให้ ก็กลายเป็นทิพยสมบัติบังเกิดขึ้นมากมาย 

 

 

DhammaPP_123_20.jpg

                       พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาล ให้พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตด้วยตาเนื้อ พระราชาได้ทรงเห็นทิพยวิมาร และทิพยสมบัติมากมายของหมู่ญาติ ทำให้พระเจ้าพิมพิสารทรงปลื้มปีติมาก พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนว่า ในเปรตวิสัยไม่มีกสิกรรม ไม่มีการทำมาค้าขาย การซื้อการขายด้วยเงินตราก็ไม่มี หมูสัตว์ผู้ทำการละ ไปบังเกิดในเปรตวิสัยแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยทานที่ทายกให้ แล้วอุทิศให้จากมนุษยโลก เหมือนน้ำฝนตกลงไปในที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ทานที่หมู่ญาติมิตรให้แล้วจากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้น

 

 

 

DhammaPP_123_21.jpg

                       เพราะฉะนั้นเมื่อเราหวนระลึกถึง อุปการะคุณของผู้มีพระคุณ หรือบรรพบุรุษของเรา ที่เคยทำความดีกับเรา ก็ควรทำทักษิณทาน อุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านเหล่านั้น เพราะบุญเท่านั้นเป็นสิ่งที่หมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้วปรารถนา และเป็นที่พึ่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนการร้องไห้เศร้าโศก พิไรรำพันอาลัยอาวรณ์ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร แก่ผู้ล่วงลับเลย ญาติเหล่านั้นจะรับรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น ด้วยการทำทานก็ดี รักษาศีลหรือเจริญภาวนาก็ดี และแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่านนั่นแหละ จึงจะเป็นเสบียงสำคัญในการเดินทางในวัฏสงสาร ได้สะดวกสบายขึ้น เมื่อรู้จักหลักวิชาอย่างนี้แล้วเนี่ย เมื่อทำบุญแล้วก็ให้อุทิศส่วนบุญกุศล ไปให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายนะจ๊ะ

 

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล