Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน แสงแห่งปัญญา
ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ล้วนต้องแสวงหาความรู้ด้วยกันทั้งนั้น ความรู้ในโลกนี้มีหลายสาขาวิชา ต่างคนต่างก็แสวงหาเพื่อเพิ่มเติมทักษะความรู้ ประสบการณ์ และความสามารถให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อจะได้เป็นปัจจัยสนับสนุนในการทำมาหาเลี้ยงชีพของตนเอง และเพื่อจุนเจือครอบครัว เป็นเช่นนี้กันมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและก็ต่อไปในอนาคต
แต่จะมีใครรู้บ้างว่าความรู้ที่แท้จริงนั้น คือความรู้ที่มาจากภายใน ซึ่งเกิดจากใจที่หยุดนิ่งอย่าสมบูรณ์ เป็นความรู้ที่เกิดจากปัญญาบริสุทธิ์ เมื่อรู้แล้วสามารถทำให้เราบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ และเป็นความรู้ที่กว้างขวางไม่มีประมาณ ยิ่งศึกษาก็ยิ่งมีความสุข และที่สำคัญ สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากอวิชา จากการบังคับบัญชาของพญามารได้ ยกเว้นปัญญาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญความอดทนว่าเป็นยอด
ปัญญานั้นมีอยู่หลายระดับ เช่น สุตมยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน หรือได้เล่าเรียนจากครูบาอาจารย์ เป็นปัญญาขั้นพื้นฐาน
จินตมยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการนึกคิด พิจารณา หาเหตุหาผล คาดเดาตามที่ตนเองคิดว่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นปัญญาขั้นสุดยอด คือ ภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา
เป็นปัญญาที่รู้แจ้ง เห็นแจ้งไปตามความเป็นจริง เกิดขึ้นจากใจที่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ ที่ศูนย์กลางกาย ฐานที่ 7 ใครที่มีปัญญาในระดับนี้ ผู้นั้นจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาอย่างสมบูรณ์ แต่ส่วนใหญ่ ปัญญาที่เราทราบจะเป็นปัญญาในระดับแรก และระดับที่สอง
ปัญญาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญาที่ทำให้เราติดอยู่กับโลก เป็นปัญญาที่ช่วยสนับสนุนเรา ในการทำมาหาเลี้ยงชีพเท่านั้น พวกเราในฐานะเป็นนักสร้างบารมี ควรจะมีให้ครบทั้งสามระดับ โดยเฉพาะภาวนามยปัญญา ควรศึกษาให้ถ่องแท้ และศึกษาอย่างต่อเนื่อง
เพราะวิชาแขนงนี้เป็นวิชาที่บริสุทธิ์ เกิดจากการทำสมาธิ เจริญภาวนาเท่านั้น และที่สำคัญสามารถนำพาเราให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ให้พ้นจากการเป็นบาปของพญามารได้
ดังเรื่องของพระเถระรูปหนึ่ง ที่ท่านมีปัญญาเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณเป็นเลิศ ได้บรรลุธรรมพิสมัย ประสบความสำเร็จอันสูงสุดในชีวิตได้อย่างน่าภาคภูมิใจ พระเถระรูปนี้ท่านเคยเกิดในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเข้าพระนามว่าปทุมุตร
ท่านได้บังเกิดในตระกูลที่มีโภคะมาก ในหังสวดีนคร ครั้นเจริญวัยแล้ว ได้ไปพระวิหารเพื่อฟังธรรม ขณะที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้นก็ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระบรมศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณเป็นเลิศ ทำให้ท่านอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง
จึงบำเพ็ญบุญกุศลกับพระบรมศาสดาและก็ตั้งความปรารถนา และท่านก็ได้รับพระพุทธยากรจากพระบรมศาสดาว่าจะได้ตามนั้น ตั้งแต่นั้นมา ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญแต่กุศลกรรมจนตลอดชีวิต
จนมาถึงในพุทธุปบาทกาลท่านก็ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี มีนามว่า วังคีสะปริพาชก ท่านเป็นผู้ฉลาด ได้ศึกษาเล่าเรียนไตรเพทจนแตกฉาน
จึงทำให้ท่านเป็นที่รักของอาจารย์ และด้วยความตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และด้วยความรักของอาจารย์ จึงทำให้ท่านได้ศึกษามนต์ชนิดหนึ่งที่สามารถรู้ปรโลกของคนตาย
คือ เมื่อเอาเล็บเคาะที่กะโหลกแล้วก็สามารถรู้ได้ว่าผู้นี้ได้ไปบังเกิดในกำเนิดใด ทำให้พราหมณ์อื่นๆเห็นช่องทางการเลี้ยงชีพ จึงพาวังคีสะท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆเพื่อให้วังคีสะเคาะกะโหลกศีรษะของผู้ที่ตายไปแล้วภายในระยะเวลาสามปี
และแจ้งสถานที่เกิดของผู้ตายให้ญาติทราบ ซึ่งท่านก็จะได้กหาปณะ ประมาณหนึ่งร้อยกหาปณะบ้าง หนึ่งพันกหาปณะบ้าง เป็นค่าตอบแทน และด้วยความเลื่อมใสของมหาชน ต่อมาท่านวังคีสะได้สดับพระคุณของพระบรมศาสดา จึงมีความประสงค์จะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
พวกพราหมณ์ก็พากันห้ามปรามว่าระวังจะถูกหลอก แต่ท่านก็ไม่เชื่อคำของพวกพราหมณ์เหล่านั้น ได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อท่านได้ทำการปฏิสันถารแล้วก็นั่ง ณ ที่อันสมควร
พระบรมศาสดาตรัสถามว่า วังคีสะว่าได้รู้ศิลปะอะไรบ้าง ท่านก็กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้มนต์ที่ทราบถึงคติของคนที่ตายไปแล้ว เพียงแค่ข้าพระองค์เอาเล็บเคาะกระโหลกศีรษะก็จะสามารถรู้ได้ถึงคติของบุคคลนั้น”
พระบรมศาสดาก็รับสั่งให้ภิกษุนำกะโหลกศีรษะของผู้ที่บังเกิดในนรก ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา และศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้วมาให้แก่วังคีสะเคาะ
เมื่อวังคีสะเคาะกะโหลกศีรษะแรกก็ ก็กราบทูลว่า คนผู้นี้ไปบังเกิดในนรก พระพุทธองค์ตรัสว่า ดีแล้ว วังคีสะ เธอเห็นแล้วด้วยดี และตรัสถามต่อไปอีกว่า ผู้นี้ล่ะ ไปบังเกิดที่ไหน
วังคีสะกราบทูลว่า ในมนุษย์โลกพระเจ้าค่ะ พระบรมศาสดาก็ตรัสถามถึงคนต่อไป วังคีสะก็กราบทูลว่า ในเทวโลกพระเจ้าค่ะ
วังคีสะได้กราบทูลสถานที่ไปเกิดของบุคคลทั้งสามได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่เมื่อเคาะกะโหลกศีรษะของพระอรหันต์ ก็ไม่เห็นเบื้องต้นและเบื้องปลายของคติ ไม่สามารถรู้ได้ว่าไปบังเกิด ณ ที่ใด
พระบรมศาสดาจึงตรัสถามท่านว่า “วังคีสะ เธอไม่อาจรู้ได้หรือ” วังคีสะจึงตอบว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์พยายามร่ายมนต์อย่างไรก็ไม่สามารถรับรู้ถึงคติของเจ้าของศีรษะนี้ได้” จากนั้นเหงื่อก็ไหล่ออกมาจากตัวท่านด้วยความหวั่นไหวและอับอาย
พระบรมศาสดาจึงตรัสถามท่านว่าลำบากใจหรือ ท่านจึงกลับทูลกลับไปว่า “ลำบากในพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์ไม่สามารถรู้ได้เลย ถ้าพระองค์ทรงทราบ ขอจงตรัสบอกด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “วังคีสะ เรารู้ถึงคติของเจ้าของศีรษะนี้ได้เป็นอย่างดี และเรารู้ยิ่งกว่านี้”
“ผู้ใดรู้การจุติและการอุบัติของปวงสัตว์ได้ทั้งหมด กล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้ไม่ขัดข้อง เป็นผู้รู้แล้วว่าเป็นพราหมณ์ เทวดาและหมู่มนุษย์ไม่รู้ทางไปของผู้สิ้นอาสวะ เรากล่าวผู้รู้ ผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นพราหมณ์”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ด้วยความอยากได้วิชา วังคีสะพราหมณ์จึงกราบทูลด้วยความเคารพยิ่งขึ้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นของพระองค์ทรงประทานวิชานั้นให้แก่ข้าพระองค์เถิด
พระบรมศาสดาตรัสว่า เราจะให้ความรู้นี้แก่คนที่เป็นนักบวชเช่นเราทั้งนั้น เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ท่านก็ไม่รอช้า ทูลขอบวชทันที
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสบอกให้พระนิโครธกัปปะเถระบวชให้วังคีสะ จากนั้นพระพุทธองค์ก็ตรัสบอก สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานให้พระวังคีสะ ท่านก็เริ่มสาธยายกรรมฐาน จนได้วิปัสสนากรรมฐานจนชำนาญ
ต่อมาพวกพราหรมณ์ก็ได้ไปหาท่าน และถามว่า วังคีสะผู้เจริญ ท่านเล่าเรียนศิลปะในสำนักของพระโคดม จบแล้วหรือ พระวังคีสะตรัสว่า เราเล่าเรียนจบแล้ว พวกท่านทั้งหลายจงไปเถิด เราไม่มีกิจร่วมกับท่านอีก พวกพราหรมณ์เห็นว่าพระวังคีสะเป็นบรรพชิตแล้ว จึงพากันหลีกไปตามทางของตน พระวังคีสะก็ได้เจริญวิปัสสนาและในที่สุดก็ทำให้แจ้งในพระอรหันต์ได้
จะเห็นว่าปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรมต่างกันอย่างไร ปัญญาใดที่ทำให้เราบริสุทธิ์บริบูรณ์จากอาสวะกิเลสได้ ปัญญานั้นแหละได้ชื่อว่าเป็นปัญญาที่ประเสริฐ เป็นปัญญาที่บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญ วิชาความรู้ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนทำให้คนฉลาด ทำให้มีหน้าที่การงานที่ดีทำ มีคนนับหน้าถือตา มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ยังไม่สามารถทำให้คนหมดกิเลส หลุดพ้นจากวังเวียนของวัฏฏะ หลุดพ้นจากกรอบอวิชาของพญามารได้ เว้นเสียจากปัญญาในทางธรรม ที่เป็นปัญญาบริสุทธิ์ อันเกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา