ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : อย่าดีแต่บอกผู้อื่น


ธรรมะเพื่อประชาชน : อย่าดีแต่บอกผู้อื่น

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP238_01.jpg
อย่าดีแต่บอกผู้อื่น

                        มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในขุททกนิกายธรรมบทความว่า 
                             บุคคลพึงทำตน
                             ให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน
                             พึงพร่ำสอนผู้อื่นในภายหลัง
                             จึงจะไม่เศร้าหมอง
                             หากว่าภิกษุ พึงทำตน
                             เหมือนอย่างที่ตนพร่ำสอนคนอื่น
                             ภิกษุนั้นชื่อว่าฝึกตนดีแล้ว
                             เพราะได้ยินว่าตนแลฝึกได้ยากที่สุด

 

 

DhammaPP238_02.jpg


                        มีเรื่องเล่าว่ามีกุลธิดาท่านหนึ่งในเมืองสาวัตถี มาขอบวชเป็นภิกษุณี เมื่อบวชแล้วเป็นผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยได้ระยะหนึ่งเท่านั้นจากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจบำเพ็ญสมณธรรม ซึ่งเป็นภารกิจหลักของผู้บวชเข้ามาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง จิตใจของท่านคิดถึงแต่การแสวงหาลาภสักการะ ญาติโยมอุปัฏฐากถวายของดีๆ มาก็มักอวดภิกษุณีรูปอื่น แม้กระทั่งการบิณฑบาตก็ไม่ชอบไปกับหมู่คณะ ได้แยกเดี่ยวออกไปบิณฑบาตตามลำพัง ในสถานที่ที่ภิกษุณีรูปอื่นๆ ไม่ไปกัน

 

 

DhammaPP238_04.jpg

                        วันหนึ่งมีชาวบ้านนำอาหารประณีตเอร็ดอร่อยมาใส่บาตรท่าน ครั้นกลับถึงวัดและได้ฉันบิณฑบาตนั้นแล้ว ก็เกิดติดใจในรถขึ้นมา จนมีความคิดไม่อยากให้ภิกษุณีก็รูปอื่นรู้แหล่ง เพราะกลัวจะไปแย่งบิณฑบาตกับตน อาจจะทำให้พลาดโอกาสที่จะได้อาหารอันประณีตอีก จึงตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับภิกษุณีทั้งหลาย ได้ชี้ถึงโทษของสถานที่อันหวงแหนของตนว่า มีถนนสายหนึ่งไม่เหมาะกับการเดินบิณฑบาต เพราะเต็มไปด้วยช้าง ม้าและสุนัข พวกท่านไม่ควรหลงเดินเข้าไป อาจทำให้ได้รับอันตรายจากสัตว์เหล่านั้นได้ เที่ยวพูดกับภิกษุณีทั้งหลายทุกวัน จนภิกษุณีไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไป เมื่อเหตุการณ์ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจ ภิกษุณีรูปนี้ก็เดินบิณฑบาตอย่างปลอดโปร่งสบายใจ

 

 

DhammaPP238_05.jpg

                        แต่เหตุการณ์ที่พูดข่มขู่ภิกษุณีรูปอื่นเอาไว้ ก็ได้เกิดขึ้นกับท่านจริงๆ คือมีอยู่วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังเดินบิณฑบาตตามปกติเหมือนทุกวัน ก็มีแพะตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาขวิดท่านอย่างแรง ทำให้บาตรหลุดมือขาซ้ายหักล้มลงข้างถนน ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ฝ่ายชาวบ้านได้ยินเสียงร้อง จึงได้เข้าไปช่วยกันปฐมพยาบาลประสานกระดูกให้ จากนั้นช่วยกันยกขึ้นแคร่ นำส่งถึงที่พักของท่าน 

 

Dhamma%20238_06.jpg

                        ภิกษุณีทั้งหลายยังเป็นปุถุชนอยู่ทราบเรื่องเข้า ก็หัวเราะเยาะ และติเตียนว่า ภิกษุณีรูปนี้ เอาแต่เที่ยวบอกเขาว่า อย่าเข้าไปบิณฑบาตแถวนั้นมันอันตราย แต่ตนกลับเข้าไปบิณฑบาตทุกวันน่าสงสารจริงๆ ความโชคร้ายของท่านไม่ได้จบลงเพียงแค่กลุ่มของภิกษุณี กลับแพร่สะพัดเข้าไปถึงหมู่ภิกษุอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้เป็นหัวข้อสนทนาในธรรมะสภาของเย็นวันนั้นว่า ท่านทั้งหลายท่านทราบข่าวภิกษุณี ถูกแพะขวิดขาหักไหม ภิกษุณีรูปนี้เอาจะสั่งสอนตักเตือนผู้อื่น ไม่ให้เข้าไปบิณฑบาตที่เต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายจำนวนมาก แต่ตนเองกลับเข้าไปบิณฑบาตรูปเดียว ทำให้ถูกหามออกมา ขณะพูดคุยกันนั้นพระบรมศาสดาก็เสด็จมาถึงธรรมะสภาพอดี ตรัสถามว่าพวกเธอกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่ ครั้นพวกภิกษุกราบทูลเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ ให้ทรงทราบ จึงตรัสว่าภิกษุทั้งหลายไม่ใช่แต่ชาตินี้เท่านั้น ที่ภิกษุณีรูปนี้ มัวแต่พูดสั่งสอนผู้อื่นแต่ตนเองกลับไปทำอย่างที่สั่งสอนเขา จึงต้องประสบกับหายนะเข้าเสียเอง

 

 

Dhamma%20238_07.jpg

                        เมื่อพวกภิกษุอยากฟังเรื่องในอดีตของภิกษุณี จึงตรัสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นนก อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ พอโตขึ้นก็ได้เป็นจ่าฝูงของนกหลายร้อยตัว ในนกฝูงนี้มีนางนกจัณฑาลตัวหนึ่ง ได้ปลีกตัวออกไปหากินตามลำพังถึงป่าลึก ซึ่งเป็นทางสัญจรของมนุษย์ ที่ใช้เดินทางทำการค้าขาย แลกเปลี่ยนกันไม่เคยว่างเว้นแต่ละวัน   

 

 

DhammaPP238_08.jpg

                        ฉะนั้นเมื่อนางนกไปจิกกินข้าวเปลือกบ้างเมล็ดถั่วบ้าง แล้วธัญพืชต่างๆ ที่หล่นจากเกวียนจนอิ่ม ก็เกิดความคิดไม่อยากให้นกตัวอื่นมาหากินแถวนี้ กลัวจะแย่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ของตน จึงได้บินเข้าไปพูดคุยกับนกตัวอื่นว่า ไม่ไกลจากป่าแห่งนี้มีทางสัญจรอยู่ในป่าลึก ที่พวกมนุษย์ได้ใช้เป็นแส้นทางทำมาค้าขายกัน พวกท่านไม่ควรเข้าไปหากินบริเวณนั้น มันอันตรายเกินไป ช้างม้าก็มาก โคก็ดุร้าย ยิ่งนกตัวไหนบินช้าอืดอาด ก็ยิ่งไม่สมควรเข้าไปหากินแถบนั้น เดี๋ยวจะโดนเหยียบโดนทับตายเสียเปล่าๆ นางนกจัณฑาลเที่ยวบอกอย่างนี้น่ะเป็นประจำ ทำให้ได้ชื่อใหม่ในเวลาต่อมาว่าอนุสาสิกา แล้วก็พูดตามสอนนกตัวอื่น 

 

 

DhammaPP238_10.jpg

                        วันหนึ่งขณะที่นางนกกำลังจะกินข้าวเปลือกอย่างเพลิดเพลิน หูก็ได้ยินเสียงเกวียนกำลังแล่นมาอย่างรวดเร็ว จึงเหลียวมาดูก็คิดว่าเกวียนยังอยู่อีกไกล ไม่จำเป็นต้องบินหลีกทางให้แต่เนิ่นๆ ให้ใกล้มาถึงตัวเสียก่อนจึงค่อยหลีกทางให้ แล้วก็จิกกินต่อไปเรื่อยๆ พอเกวียนแล่นมาจวนเจียนใกล้จะถึง ก็รีบบินขึ้นแต่ก็ไม่ทันการ นางนกได้ถูกล้อเกวียนทับ แยกร่างออกเป็นสองท่อน นอนตายอย่างอเนจอนาถข้างทาง

 

 

DhammaPP238_09.jpg

                         ฝ่ายนกโพธิสัตว์ไม่เห็นนางนกหลายวันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝูง จึงเรียกนกทั้งหมดมาประชุมแล้วซักถามว่า พวกท่านเห็นนกอนุสาสิกากันบ้างไหม เมื่อทราบว่าไม่มีนกตัวไหนเห็นนางนกอนุสาสิกาเลย พยานกจึงได้ให้นกทั้งหมดช่วยกันแยกย้ายออกตามหา จนกระทั่งนกกลุ่มหนึ่ง บินไปพบร่างของนางนกอนุสาสิกา ที่นอนตายอยู่ข้างทางเกวียน ก็พากันบินกลับมารายงานให้พญานกทราบ นกโพธิสัตว์ฟังแล้วก็กล่าวขึ้นว่า นางนกอนุสาสิกาได้แต่พร่ำสอนแต่ผู้อื่น แต่ตนกลับไม่ทำอย่างที่พูด จึงต้องถูกล้อรถบดขยี้ขาดเป็น ๒ ท่อนนอนตายอยู่ที่หนทางใหญ่ 

 

 

DhammaPP238_11.jpg

                        พระบรมศาสดาครั้นตรัสเรื่องนี้จบลงก็สรุปชาดกว่า นางนกอนุสาสิกาในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุณีขาหักในบัดนี้ ส่วนนกจ่าฝูงได้เป็นเราตถาคต นกบริวารทั้งหลายได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่าใครก็ตามเมื่อถูกความโลภครอบงำ จะทำให้มีความตระหนี่หวงแหน ใจจะไม่เปิดกว้างแล้วก็ทำให้ขาดสติยับยั้งชั่งใจ ทำอะไรก็ไม่อยู่ในร่องในรอยเพราะจิตใจมุ่งอยากจะได้อย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจผลเสียที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า จึงต้องประสบความหายนะเพราะดูแต่ได้ไม่ดูเสีย ความโลภทำให้คนประสบความหายนะ มามากมายนักต่อนักแล้ว คนเราน่ะถ้าไม่ให้ความสำคัญในการศึกษาธรรมะ ไม่รู้จักการดำรงชีวิตที่ถูกวิธี ไม่ฝึกฝนอบรมตนเองให้รู้เท่าทันกิเลส ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามกระแสของกิเลส จิตใจก็จะตกอยู่ในอำนาจของกิเลสอยู่ตลอดเวลา ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำให้ชีวิตมีแต่ความเสื่อมถอย 

 

 

DhammaPP238_13.jpg

                        ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในเพศภาวะใดก็ตาม ควรให้ความสำคัญในการฝึกฝนอบรมตนเอง เมื่อรู้ว่าสิ่งไหนไม่ดีทั้งทางกาย วาจาและทางใจควรรีบแก้ไขปรับปรุง ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจอย่าปล่อยให้ใจไหลไปตามอำนาจของกิเลส นิสัยที่แย่ๆ ต้องรีบแก้ให้ได้ในชาตินี้อย่าให้ติดไปข้ามชาติ ชีวิตจะได้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ครั้นสอนตัวเองได้ดีแล้วจึงหาโอกาสแนะนำคนอื่น ตามความสามารถที่เราจะทำได้ การสอนคนอื่นนั้นได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้นแหละ อย่าไปทุกข์ใจเมื่อเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เราแนะนำ

 

 

DhammaPP238_15.jpg

                        ให้ดูอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา พระตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกหนทางสวรรค์นิพพานเท่านั้น ใครอยากไปสวรรค์หรือนิพพานก็ต้องทำตามที่พระองค์ทรงแนะนำ ส่วนใครไม่เชื่อหรือไม่ปฏิบัติตาม พระองค์ก็ไม่ได้ทรงท้อถอยหรือน้อยพระทัย ทรงทำหน้าที่บรมครูอย่างเต็มที่จนถึงวันปรินิพพาน เพราะฉะนั้นให้ลูกๆ ทุกคนหมั่นสอนตนให้พ้นภัยจากอบาย อย่าเห็นแก่ความสุขสบายในช่วงสั้น ให้ทุ่มเทฝึกตนชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จะได้เป็นที่พึ่งให้กับมนุษยชาติและสัพสัตว์ทั้งหลายกันทุกคน

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล