Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ๒
ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้แต่ละคนก็มีเวลาไม่เท่ากันบางคนมีเวลามาก บางคนมีเวลาน้อยแต่โดยเฉลี่ยแล้ว เวลาชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันก็ประมาณ ๗๕ ปีซึ่งถือว่าน้อยมากนะจ๊ะ เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด อย่าคิดว่าเราน่ะมีเวลามาก เพราะสิ่งที่เราต้องศึกษาเรียนรู้ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะความรู้ภายในเป็นความจริงของชีวิตที่ต้องศึกษาดังนั้นเราจึงควรสงวนวันเวลาอันมีค่านี้ไว้ สำหรับการศึกษาความรู้ภายใน ด้วยการหมั่นเจริญสมาธิภาวนากันทุกๆ วันนะจ๊ะ
มีเถระคาถาที่พระมหากัจจายนเถระกล่าวไว้ใน จูฬรถวิมาน ว่า
สัตว์พึงไปในประเทศใดแล้ว ประกอบการงานและเล่าเรียนวิชากระทำกิจของบุรุษแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย ประเทศเช่นนั้นไม่มีเลย แม้ชนทั้งหลายผู้มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก เป็นกษัตริย์ปกครองแว่นแคว้นมีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย ที่จะไม่แก่ไม่ตายไม่มีเลย ถึงชนเหล่านั้นจะมีเพลงอาวุธที่ได้ศึกษาแล้ว แกล้วกล้า องอาจ สามารถจะต่อสู้ศัตรูได้ก็ตาม แต่ชนเหล่านั้นก็ถึงความสิ้นอายุ จะดำรงยั่งยืนเหมือนพระจันทร์พระอาทิตย์ก็หาไม่ ถึงพระอรหันต์ผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้วเสร็จกิจแล้วไม่มีอาสวะ อยู่เหนือบุญและบาปแล้ว ก็ยังต้องทอดทิ้งร่างกายนี้ไป
นี่คือมรณาญสติที่พระเถระ ได้เทศสอนแกสุชาตกุมาร ผู้จะต้องตายภายใน ๕ เดือนซึ่งหลวงพ่อก็ได้เล่าค้างเอาไว้จากครั้งที่แล้วดังนั้นวันนี้เรามารับฟังเรื่องราวของสุชาตกุมารกันต่อเลยนะจ๊ะ จากครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าถึงตอนที่พระกุมารถามถึงอุบาย ที่จะให้พ้นจากความตายกับพระมหากัจจายนะ พระเถระจึงกล่าวสอนธรรมพระกุมารว่า ประเทศไหนที่สัตว์ไปแล้วจะไม่แก่ไม่ตายไม่มีหรอก ผู้มีทรัพย์สมบัติมากแม้กระทั่งกษัตริย์ผู้ปกครองแว่นแคว้นทั้งหลาย ไม่ช้าก็เร็วบุคคลเหล่านั้นก็จะต้องตายอยู่ดี ท่านที่เป็นนักศึกษาผู้มีความแกล้วกล้าหรือเป็นนักรบสามารถประหารข้าศึกได้ แม้ท่านเหล่านั้นก็ต้องล้มตาย เมื่อถึงกาลสิ้นอายุขัย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ สูตร คนจัณฑาลหรือชนชาติอื่น แม้คนเหล่านั้นที่จะไม่แก่ไม่ตายก็ไม่มี ท่านที่ร่ายมนต์พรหมจินดาและท่านจะมีวิชาอื่นๆ สักวันหนึ่งท่านเหล่านั้นก็ต้องตาย พวกฤาษีนักพรตผู้สงบสำรวมจิตบำเพ็ญตบะ แม้ท่านผู้บำเพ็ญตบะเหล่านั้นก็ต้องละทิ้งร่างกายไปตามกาลเวลา แม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายผู้อบรมตนดีแล้ว ทำกรณียกิจเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีอาสวะก็ยังต้องทอดทิ้งร่างกายนี้ไป สุชาตกุมารเมื่อได้ฟังธรรมจากพระเถระแล้ว จึงกล่าวว่าข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เป็นมหาปราชญ์ถ้อยคำของพระคุณเจ้า ล้วนเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ทั้งนั้น ข้าพเจ้าพินิจพิจารณาถ้อยคำของพระคุณเจ้าแล้ว ย่อมเข้าใจดี ขอพระคุณเจ้าโปรดเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระเถระกล่าวห้ามพระกุมารว่า ท่านอย่าถึงอาตมาว่าเป็นสรณะเลย อาตมาถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ใดว่าเป็นสรณะ ขอท่านจงถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่าเป็นสรณะเถิด
เมื่อพระกุมารสดับเช่นนั้นจึงตรัสถามถึงพระผู้มีพระภาคว่า เสด็จประทับอยู่ ณ ที่ใด แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะพระองค์ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระกุมารเมื่อได้สดับพุทธคุณจากพระเถระแล้ว ก็มีจิตเลื่อมใสได้ปฏิญาณตนว่า ข้าพเจ้าขอถึงพุทธองค์ผู้ปรินิพพานแล้วว่าเป็นสรณะ ทั้งขอถึงพระธรรมอันยอดเยี่ยมและพระสงฆ์ผุ้เป็นที่พึ่งของมนุษย์และเทวดาว่าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าของดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักขโมย จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จและเว้นจากการดื่มน้ำเมา
เมื่อพระกุมารตั้งอยู่ในไตรสรณคมและศีล ๕ แล้วพระเถระจึงแนะนำว่า ดูก่อนกุมารคงไม่มีประโยชน์อะไรที่ท่านจะอยู่ในป่านี้ เพราะท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นาน เพราะฉะนั้นควรกลับไปเฝ้าพระราชบิดา ทูลขอบำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ท่านจะได้ไปเกิดในสวรรค์พอพระเถระกล่าวจบก็แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ให้แก่พระกุมารเพื่อไว้สักการะบูชา ฝ่ายพระกุมารก็กราบนิมนต์พระเถระให้ไปยังเมืองของตนเพื่อเป็นเนื้อนาบุญ เมื่อพระเถระรับนิมนต์แล้ว จึงกราบลาพระเถระมุ่งหน้าสู่อัสสกนครทันที
ครั้นกลับถึงพระนครก็เข้าไปพักในพระราชอุทยาน พระราชาเมื่อสดับการมาของพระกุมาร จึงเสด็จไปยังพระราชอุทยานพร้อมด้วยข้าราชบริพาร พอได้พบพระกุมารก็ปลาบปลื้มพระทัยยิ่งนัก เข้าไปสวมกอดด้วยความรักและนำพระกุมารเข้าไปอภิเษกในพระนคร แต่พระกุมารกลับทูลว่า ข้าแต่พระบิดาหม่อนฉันมีอายุเหลือน้อย จากนี้ไปอีก ๔ เดือนก็จะหมดอายุขัย ขอหม่อมฉันอยู่กับพระองค์เพื่อบำเพ็ญบุญกุศลเถิดพระเจ้าข้า แล้วก็ทรงพรรณนาคุณของพระเถระ ให้พระบิดาทรงทราบ
พระเจ้าอัสสกครั้นสดับแล้วทรงสลดพระทัยและเลื่อมใสในพระเถระ จึงโปรดให้สร้างพระวิหาร แล้วก็ส่งราชทูตไปกราบนิมนต์พระเถระเข้าสู่พระนคร จากนั้นก็นำข้าราชการต้อนรับและการนิมนต์พระเถระให้เข้าไปในวิหาร ทรงบำรุงด้วยปัจจัย ๔ โดยเคารพ ส่วนพระกุมารก็ได้สมาทานศีล บำรุงอุปัฏฐากพระเถระและภิกษุทั้งหลาย บำเพ็ญทานและฟังธรรมอยู่ตลอด ๔ เดือน
เมื่อละจากโลกแล้วก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเทวรถขนาดกว้างยาวด้านละ ๑๐๐ โยชน์ ประดับด้วยรัตนชาติ ๗ ประการ มีนางเทพอัปสรหลายพันนางเป็นบริวาร พระเจ้าอัสสกทรงทำสักการะสรีระของพระกุมารและถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ ให้สร้างพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บูชา จากนั้นก็ทำการฌาปนกิจสรีระของพระกุมาร พระมหากัจจายนพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้ไปยังฌาปณสถานแห่งนั้นด้วย
ฝ่ายเทพบุตรใหม่กำลังชื่นชมทิพยสมบัติพร้อมกับตรวจดูบุพกรรมที่ตนได้ทำ ด้วยความเป็นเทวบุตรยอดกตัญญูจึงปรารถนาจะไปกราบขอบคุณพระเถระและทำคุณของพระศาสนาให้ปรากฏ จึงขึ้นเทวรถลงมาจากสวรรค์พร้อมทั้งบริวารจำนวนมาก มาปรากฏอยู่ต่อหน้าพระเถระเมื่อลงจากเทวรถแล้วก็เข้าไปกราบแทบเท้าพระเถระ จากนั้นก็ยืมพนมมืออยู่เบื้องหน้าของพระเถระ พระเถระก็ได้ไต่ถามเทวบุตรว่า เทวรถใหญ่ของท่านมีรัศมีมากเหมือนกับพระอาทิตย์ ที่ส่องรัศมีไปทั่วท้องฟ้ายาว ๑๐๐ โยชน์ หุ้มด้วยแผ่นทองคำโดยรอบ คานรถวิจิตรด้วยแก้วมุขดาและแก้วมณี แม้ม้าเทียมรถก็ประดับด้วยทองและเงิน ท่านยืนสง่างามท่ามกลางรถทองคำเทียมด้วยม้า ๑,๐๐๐ ตัว เหมือนกับท้าวสักะเทวราช
ดูก่อนท่านผู้มียศ ท่านเป็นใคร แล้วก็ได้รถคันนี้มาอย่างไร เทวบุตรก็เรียนว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นโอรสของพระราชา พระคุณเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะสิ้นอายุขัย จึงอนุเคราะห์ข้าพเจ้าให้ตั้งอยู่ในความสำรวม ให้สมาทานมั่นในศีล ๕ และมอบพระบรมสารีริกธาตุแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้รักษาศีลยิ่งชีวิตและขวนขวายบูชาพระบรมสารีริกธาตุนั้นด้วยดอกไม้และของหอมเสมอมาครั้นละจากอรรตภาพมนุษย์แล้ว จึงไปเกิดบนสวรรค์อันน่ารื่นรมย์ ครั้นเทพบุตรกราบเรียนบุพกรรมแล้ว ก็ทำประทักษิณพระเถระ แล้วขึ้นเทวรถกลับไปยังเทวโลกตามเดิม พระราชาและมหาชนที่ได้เห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น ก็คลายจากความโศกเศร้า มีจิตเบิกบานและมุ่งมั่นสั่งสมบุญตามอย่าง ของสุชาตเทวบุตรกันโดยท้วนหน้า
เห็นไหมจ๊ะว่ามรณะภัยเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเราก็ไม่รู้ว่า จะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาใดเพราะมรณะภัยเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก ฉะนั้นดีที่สุดคือเตรียมตัวเราให้พร้อมอยู่เสมอ เหมือนกับพระกุมารแม้มีเวลาอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด แต่ก็ได้ใช้ให้หมดไปอย่างคุ้มค่าด้วยการสั่งสมบุญกุศลอย่างเต็มที่ สร้างที่พึ่งในปรโลกให้กับตนเอง ส่วนเราเองก็ไม่รู้ว่าเวลาบนโลกมนุษย์นี้เหลือมากน้อยเพียงไร ดังนั้นก็อย่าประมาทกันนะจ๊ะ ให้เร่งสั่งสมบุญบารมีกันให้มากๆ และหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เราก็จะได้มีที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงกันนะจ๊ะ