Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน กตัญญูกตเวทีนำชีวีสดใส 2
มนุษย์ทุกๆคนไม่ว่าจะชาติไหน ภาษาไหน หรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดเป็นชนชั้นสูง ชั้นกลาง หรือชั้นล่าง ต่างก็มีพระธรรมกายอยู่ภายในตัวทั้งสิ้น เพียงแค่เราน้อมนำใจมาหยุดนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาสบาย
ประคับประคองใจหยุดนิ่งให้ต่อเนื่องกันไป ไม่ช้าเราก็จะสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นหลักวิชาที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกวิธี เพราะถ้าปฏิบัติได้ถูกหลักแล้วต้องเข้าถึงกันทุกคนที่เข้าไม่ถึงเป็นไม่มี แต่ที่ยังเข้าไม่ถึงนั้นก็เพราะเกียจคร้านบ้าง ทำไม่ถูกวิธีบ้าง
แต่ถ้าหากว่ามีความเพียรสม่ำเสมอทุกๆวัน ไม่มีข้อแม้ ข้ออ้างและเงื่อนไข หมั่นทำจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนาเป็นประจำ จิตใจก็ย่อมผ่องใส สว่างไสว และสักวันหนึ่งจะต้องเข้าถึงพระธรรมกายกันอย่างแน่นอน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาอัสสาโรหชาดก ว่า
กรรมที่บุคคลทำแล้วในอสัตบุรุษ ย่อมฉิบหายไม่งอกงาม เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในไฟย่อมถูกไฟไหม้ ไม่งอกงาม ส่วนกรรมที่บุคคลทำในคนกตัญญู มีศีล มีความประพฤติประเสริฐย่อมไม่ฉิบหายไป เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดีฉะนั้น
คนอกตัญญูคือคนที่มองไม่เห็นคุณความดีของคนอื่น โบราณท่านสอนไว้ว่า อย่าไปหวังว่าจะได้รับประโยชน์หรือผลตอบแทนจากผูที่ไร้ความกตัญญู เพราะนอกจากจะไมได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังจะทำโทษภัยมาสู่ตัวเราให้ได้รับความเดือดร้อนอีกด้วย อุปมาก็เหมือนการหว่านพืชลงในไฟ
ต่อจากตอนที่แล้ว หลวงพ่อเล่าถึงตอนที่สามสหายได้เดินทางหาประสบการณ์ตามสถานที่ต่างๆ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงกรุงพาราณสี ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้ากรุงพาราณสีเสด็จสวรรณคตได้เจ็ดวันพอดี พวกเสนาอำมาตย์ไม่สามารถหาผู้ที่จะมาสืบทอดราชบัลลังก์ได้
จึงให้ตีกลองป่าวประกาศไปทั่วพระนครว่า พรุ่งนี้จะทำการเสี่ยงบุศยราชรถออกไป เพื่อแสวงหาผู้ที่สมสควรจะคลองราชสมบัติ
ขณะที่สหายทั้งสามหลับอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง โปติกะกุมารตื่นขึ้นมาในเช้ามืด ได้ยินไก่ป่าสองตัวพูดโอ้อวดคุณวิเศษของตัวว่า
ผู้ใดฆ่าเราแล้วกินเนื้อ ผู้นั้นจะได้ทรัพย์พันหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่งก็อวดอ้างว่า ถ้าใครฆ่าเราแล้วกินน่องของเราเขาจะได้เป็นพระราชา ส่วนคนที่กินเนื้อตรงกลางจะได้เป็นเสนาบดีและได้กินเนื้อติดกระดูกจะได้เป็นขุนคลังของพระราชา
พอโปติกะกุมารฟังถ้อยคำของไก่ทั้งสองแล้วก็ค่อยๆปีนขึ้นต้นไม้เพื่อจับไก่ตัวที่นอนอยู่ข้างบนลงมาฆ่าและย่างบนกองไฟ จากนั้นก็ได้ฉีกเนื้อน่องให้นิโครธกุมารบริโภคเป็นอาหารเช้า ส่วนเนื้อตรงกลางให้แก่สาขกุมารและตนเองก็บริโภคเนื้อติดกระดูก
ครั้นบริโภคเสร็จ โปติกะจึงบอกว่า วันนี้นิโครธสหายรักจะได้เป็นพระราชา ส่วนสาขจะได้เป็นเสนาบดี เมื่อพูดจบก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สหายทั้งสองได้ฟัง จากนั้นทั้งสามสหายก็ชักชวนกันไปนอนพักผ่อนในพระราชอุทยาน
ขณะนั้นพวกเสนาอำมาตย์ทั้งหลายก็ได้นำเอาเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์วางไว้ภายในบุศยราชรถและปล่อยไป บุศยราชรถนั้นแล่นไปทั่วพระนครพอมาถึงพระราชอุทยานก็หยุดอยู่กับที่ประหนึ่งว่าจะจอดรอให้คนขึ้นนั่ง
ฝ่ายปุโรหิตคิดว่าท่านผู้มีบุญญาธิการคงจะมีอยู่ในพระราชอุทยานนี้เป็นแน่จึงเข้าไปภายในพระราชอุทยาน ก็ได้เห็นนิโครธกุมารนอนหลับอยู่ เลยเข้าไปเลิกผ้าที่ปลายเท้า และก็ได้พิจารณาถึงลักษณะฝ่าเท้าทั้งสองก็ทราบได้ทันทีว่ากุมารนี้จะได้เป็นราชาธิราชย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพื้นชมพูทวีป
จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ประโคมดนตรีขึ้น นิโครธกุมารได้ยินเสียงดังก็เลิกผ้าคลุมหน้าออกแลเห็นคนมาประชุมกันเป็นจำนวนมากจึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนแผ่นศิลา
จากนั้นท่านปุโรหิตก็กล่าวทูลเชิญให้นิโครธกุมารขึ้นเถลิงสิริราชสมบัติแทนพระเจ้ากรุงพาราณสี เมื่อนิโครธกุมารขึ้นครองราชสมบัติแล้วก็ปกครองเหล่าอาณาประชาราชโดยธรรม
ทรงมอบตำแหน่งเสนาบดีให้สาขกุมาร วันหนึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงมารดาบิดา จึงกล่าวกับสาขเสนาบดีว่า “สหาย เราไม่อาจจะอยู่โดยปราศจากมารดาบิดาได้ ขอท่านพร้อมด้วยบริวารจงไปพามารดาบิดาของเรามาที่นี่เถิด” แต่สาขเสนาบดีทูลปฏิเสธ พระราชาจึงรังสั่งให้โปติกะไปรับพระชนกชนนีของพระองค์มาแทน
เมื่อโปติกะเข้าไปหาพระชนกชนนีของพระเจ้านิโครธราชได้รับแจ้งความประสงค์พร้อมกับทูลเชิญเสด็จ แต่ทั้งสองพระองค์ก็ปฏิเสธเนื่องจากอยากมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเดิม โปติกะกุมารครั้นไม่สามารถนำเสด็จไปได้ก็กลับมายังเมืองพาราณสีตามลำพัง
และคิดว่าจะไปหยุดพักที่บ้านเสนาบดีให้หายเหนื่อยเสียก่อนและจึงค่อยเข้าเฝ้าพระเจ้านิโครธ ฝ่ายสาขเสนาบดีซึ่งเก็บความโกรธแค้นมานานที๋โปติกะไม่ยอมให้ตนบริโภคน่องของไก่จึงทำให้คลาดจากการเป็นพระราชา
เมื่อทราบว่าสหายโปติกะเข้ามาขอพักก็ด่าทอโปติกะว่าเป็นลูกนางทาสี มิหนำซ้ำยังสั่งให้คนรับใช้ทุบตีนายโปติกะเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่โปติกะกุมารอาศัยปัญญาเฉียบแหลมสามารถหลบหนีจากการทารุณกรรมไปได้ จากนั้นก็คิดว่า
สาขเสนาบดีนี้ได้ตำแหน่งเสนาบดีก็เพราะเราแท้ๆ แต่เขาเป็นคนอกตัญญู เป็นผู้ประทุษร้ายมิตร สั่งให้คนรับใช้ทำร้ายเราเหมือนคนเป็นศตรูกัน แต่ท่านนิโครธเป็นบัณฑิตเป็นผู้มีความกตัญญู เป็นสัตบุรุษ ว่าแล้วก็ไปเข้าเฝ้าพระเจ้านิโครธ
เมื่อไปประตูพระราชวังก็ให้นายประตูกราบทูบแก่พระราชา พระราชาเมื่อสดับว่าโปติกะสหายรักกลับมาแล้วก็เสด็จลุกจากพระราชอาสน์ไปต้อนรับปฏิสันธารโดยไม่ได้ถือพระองค์
รับสั่งให้ช่างกัลบกมาแต่งผมและหนวดพาไปทายาแก้ฟกช้ำและให้ประดับเครื่องสรรพาภรณ์ให้บริโภคโภชนะอันประณีตที่มีรสเลิศ
และได้ถามฉันมิตรกับโปติกะถึงข่าวคราวของพระชนกชนนีของพระองค์ แล้วก็ทรงทราบว่าท่านไม่ยอมเสด็จมา โปติกะได้กราบทูลเรื่องราวที่ตัวเองถูกสาขเสนาบดีและเหล่าบริวารรุมทุบตีจนเกือบเอาตัวไม่รอดให้ทรงทราบ
เมื่อพระราชาทรงไตร่สวนดูแล้วก็ทรงเห็นว่าสาขเป็นคนอกตัญญู จึงรับสั่งให้นำไปประหารชีวิตทันที ฝ่ายโปติกะรีบทูลอ้อนวอนต่อพระราชาให้อดโทษแก่เขาเพราเห็นแก่ความเป็นสหายกันมาตั้งแต่เกิด โดยกราบทูลว่า
ชีวิตของคนเรานั้นตายแล้วไม่อาจจะนำกลับคืนมาได้ ขอได้ทรงโปรดอดโทษแก่อสัตบุรุษนี้เถิดพระเจ้าค่ะ พระราชาทรงเห็นแก่คำขอร้องของโปติกะจึงทรงยกโทษให้สาข และทรงเนรเทศให้ออกไปอยู่นอกเมือง
จากนั้นพระองค์ก็ทรงพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่นายโปติกะ แต่เขาไม่ปรารถนายศถาบรรดาศักดิ์ ดังนั้นพระราชาทรงพระราชทานตำแหน่งขุนคลังและหน้าที่ตรวจตราราชการแผ่นดินทั้งหมดให้เขาดูแล ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้านิโครธก็ครองกรุงพาราณสีให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงบำเพ็ญทานตลอดชีวิต ละโลกแล้วก็ได้ไปเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์
พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาแสดงแล้วก็ทรงประชุมว่าสาขเสนาบดีในครั้งนั้นได้มาเป็นเทวทัตในบัดนี้ โปติกะขุนคลังในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ ส่วนพระเจ้านิโครธในครั้งนั้นได้มาเป็นเราตถาคต
จะเห็นได้ว่าการทำคุณแก่คนอกตัญญูนั้นเป็นเหมือนโยนเมล็ดพืชลงในกองไฟ มีแต่จะมอดไหม้และเสื่อมเสีย ฉะนั้นใครก็ตามที่ทำความดีแก่เราแม้เพียงนิดหน่อยก็ให้หมั่นตามระลึกนึกถึงความดีนั้นและหาทางตอบแทนคุณให้ได้
จะได้เป็นเหมือนชาวนาหว่านพืชลงในนาดีที่อุดมด้วยดินน้ำและปุ๋ย คือตัวเราจะต้องเป็นศูนย์รวมแห่งคุณธรรมความดี อุดมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ชีวิตจะได้ประสบแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป ทั้งในภพนี้และทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม