Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
ศีลกับกุศลกรรมบถ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกายธรรมบทความว่า
“บุคคลพึงรักษาวาจา พึงสำรวมใจและไม่พึงทำความชั่วทางกาย พึงชำระกรรมบถทั้ง ๓ ประการนี้ให้หมดจด แล้วจะพึงพบทางที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้”
กรรมบถหมายถึงหนทางการกระทำ ซึ่งตามลักษณะมี ๒ อย่างคือกุศลกรรมบถกับอกุศลกรรมบถ กุศลกรรมบถก็หมายถึง หนทางแห่งการกระทำความดี ซึ่งมีอยู่ ๓ ทางด้วยกัน แบ่งออกเป็นทางกาย ทางวาจาและก็ทางใจ ที่ตรัสว่าไม่พึงทำความชั่วทางกายหมายถึง ทรงสอนให้ตั้งใจงดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียน งดเว้นจากการลักทรัพย์และตั้งใจงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ที่ตรัสว่าว่าพึงสำรวมวาจาหมายถึง ให้มีวจีสุจริต ได้แก่ตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบและงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ ทรงสอนให้สำรวมใจ หมายถึงให้มีมโนสุจริต ไม่โลภอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผู้อื่นและเป็นผู้มีความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองครองธรรม
ทั้งกุศลกรรมบท ๑๐และศีล ๕ ต่างก็เป็นมนุษยธรรม ที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมนุษย์และเป็นเรื่องที่พระองค์ส่งเสริมให้กระทำ สิ่งนี้จะเป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา เมื่อตั้งใจประพฤติกุศลกรรมบททั้ง ๑๐ ประการได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็จะพบทางที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้
หมายถึงพบทางสู่ความสุข พบวิสุทธิมรรค ทางสู่ความบริสุทธิ์ เพราะเมื่อกายวาจาใจใสสะอาดบริสุทธิ์ ครั้นลงมือฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่ง ก็สามารถเข้าถึงอริยมรรค เข้าถึงกายในกาย เข้าถึงพระธรรมกายได้ แล้วจะรู้เรื่องโลกและชีวิต ไปตามความเป็นจริง กระทั่งสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้ ธรรมอันใดที่พุทธองค์ทรงประกาศไว้ เราก็จะทำให้แจ้งชัด ตั้งแต่วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ และจรณะ ๑๕ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติ ตามหลักของกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการโดยย่อก็คือ การรักษากาย วาจา ใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอเพราะนั่นคือทางสู่ความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เหมือนดังเรื่องสามเณรภัททะ ผู้ตั้งใจบำเพ็ญกุศลกรรมบถ มาข้ามภพข้ามชาติ ผลสุดท้ายเมื่อบุญส่งผล ชีวิตของท่านก็บริบูรณ์ ด้วยทรัพย์ทั้งภายนอกและภายใน ได้พบทางแห่งความบริสุทธิ์ ที่พุทธองค์ทรงประกาศไว้ดีแล้ว เรามาติดตามกันเลยนะจ๊ะ
ว่าชีวิตของท่านงดงามอย่างไร ในขณะที่กำลังสร้างบารมีอยู่และงดงามยิ่งขึ้น เมื่อบุญส่งผลแล้วอย่างไร การสร้างบารมีของสามเณรภัททะนั้น มีระดับการพัฒนาที่เป็นขั้นเป็นตอน เจริญสูงส่งด้วยคุณงามความดีเรื่อยมาตามลำดับ คือได้สั่งสมบุญเล็กบุญน้อย บุญปานกลางและบุญใหญ่เรื่อยมา จนมาถึงในยุคสมัยของพระปทุมุตรพุทธเจ้า ท่านได้อาราธนานิมนต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ รูป มาฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านให้บริวารช่วยกันจัดเตรียมบัลลังก์ทอง มีค่าแสนหนึ่ง ปูลาดด้วยเครื่องราชงามวิจิตร บนพื้นก็ปูด้วยเครื่องราชปุยนุ่น ที่นุ่มละมุนเท้ามีรูปเป็นดอกไม้ ได้เตรียมผ้าไตรจีวร ผ้าเปลือกไม้และผ้าผ้ายเนื้อดี ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังให้ได้จัดเตรียมปัจจัยไทยธรรม ที่เหมาะสมแก่สมณบริโภค ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด หลังจากทำบุญใหญ่ในครั้งนั้นแล้ว ท่านก็บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ได้บริบูรณ์เรื่อยมา ขณะเดียวกันก็ดำรงมั่นในบุญญากิริยาวัตถุทุกประการ ผลบุญนั้นทำให้ท่าน ได้ท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตาย อยู่แต่ใน ๒ ภพภูมิเท่านั้น คือในเทวโลกและในมนุษยโลก
เมื่อลงมาเกิดก็เกิดในร่มเงาบวรพระพุทธศาสนา มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ความโชคดีนี้ทำให้ท่านมีโอกาส ได้สั่งสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก โดยระหว่างวนเวียนอยู่ในสุคติภพ ท่านได้เป็นท้าวสักกะเทวราช ที่แวดล้อมไปด้วยเทพบุตรเทพธิดา ผู้เป็นบริวารมากมายถึง ๗๔ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๑ ครั้ง เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน เรื่อยมาจนถึงเป็นพระราชาประเทศราช และต่อจากนั้นก็เกิดในตระกูลมาโดยตลอด เพราะการบำเพ็ญกุศลกรรมบทและบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุนั่นเอง
พอมาถึงสมัยพุทธการ ท่านก็ได้เกิดเป็นลูกเศาษฐี ในกรุงสาวัตถีซึ่งก่อนที่จะมาเกิด มารดาบิดาของท่านก็ได้ไปกราบทูลอ้อนวอน ขอบุตรกับพระพุทธองค์ โดยตั้งใจว่าถ้าได้บุตรแล้ว จะให้บวชในพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระเจ้าทรงตรวจดูความปรารถนา ที่สองสามีภรรยาได้มาขอพรว่า จะสำเร็จหรือไม่ ทรงเห็นว่าภรรยาสามีคู่นี้ เป็นผู้สั่งสมบุญมาดีอีกทั้งขนะนี้มีเทพบุตรตนหนึ่ง หมดอายุขัยพอดี เท้าสักกเทวราชทรงมีเทวบัญชา ให้เทวบุตรท่านนี้มาเกิดเป็นบุตรของสองสามีภรรยาผู้ใจบุญนี้ จึงทรงอวยพรได้ทั้งสองสมปรารถนา พอท่านเกิดมาญาติพี่น้องต่างก็ดีออกดีใจ ตั้งชื่อให้ว่าภัททะ ครั้นอายุได้ ๗ ขวบมารดาบิดาเห็นลูกชายสุดที่รักมีจิตใจฝักใฝ่ในทางธรรม ไม่เหมือนเด็กทั่วไป เพราะลูกได้แต่บอกพ่อแม่ว่า อยากจะบวช พ่อแม่จึงได้นำไปเข้าเฝ้า แล้วก็ได้มอบถวายบุตรกับพระพุทธองค์
เมื่อพระบรมศาสดารับแล้ว ก็ทรงรับสั่งให้พระอานนท์เถระบวชให้ ครั้นบวชแล้ว พระเถระก็บอกแนวทางการเจริญวิปัสสนาโดยย่อให้ฟังสามเณรน้อยอายุ ๗ ขวบก็นำวิธีการทำสมาธิไปปฏิบัติตลอดคืนยันรุ่งในที่สุดก็ได้บรรลุวิชชา ๓ เป็นผู้ทรงอภิญญา หมดสิ้นอาสวะกิเลส ในขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล้พ้นขอบฟ้า ท่านเป็นสามเณรที่มีปกติ รักในการฝึกตัว มีปกติอยู่ในเสนาสนะอันสงัด
ถึงแม้จะมีอายุเพียง ๗ ขวบ แต่เนื่องจากสูงส่งด้วยคุณธรรมและคุณวิเศษท่านจึงไม่เหมือนกับสามเณรน้อยหรือเด็กทั่วๆ ไปและเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสศรัทธาของมนุษและเทวาทั้งหลายในทันทีที่พระบรมศาสดาตรัสว่า มาเถิดบุตรของเราจงเป็นภิกษุมาเถิด ท่านก็ได้สำเร็จการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ การได้รับอุปสมบทของท่าน เรียกว่าพุทธอุปสมบท ซึ่งพระพุทธองค์จะทรงประทานเป็นพิเศษ แก่ผู้มีบุญญาธิการมาก เป็นพุทธบุตรผู้อุดมไปด้วยคุณธรรมและคุณวิเศษเท่านั้น
เห็นไหมจ๊ะว่าสิ่งใดที่ได้ทำไว้ในอดีต นั่นคือการกำหนดรูปแบบชีวิตของตัวเราในปัจจุบัน การจะกำหนดชีวิตของตัวเราให้เป็นไปในรูปแบบใด จะดีหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญกุศลกรรมบถและการตั้งความปรารถนาของเราน่ะเป็นหลัก เหมือนท่านภัททเถระ ผู้มีความถึงพร้อมในทุกสิ่ง ทั้งอริยะทรัพย์ภายนอกและภายใน นี้เป็นความรู้ที่เราต้องศึกษาและนำไปใช้ในชีวิตจริงของเรานะจ๊ะ เพื่อเราจะได้ก้าวไปสู่เป้าหมายอย่างสมบูรณ์ โดยมีบุญกุศลที่ถึงพร้อมในการลิขิตชีวิตตนอย่างสมบูรณ์แบบ
กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี่แหละคือแม่บทสำคัญ ในการครองชีวิตเราจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ต้องคุ้มครองรักษากาย วาจา ใจเอาไว้ให้ดีต้องดำรงมั่นในกุศลกรรมบถแล้วอริยมรรคเส้นทางพระอริยเจ้าที่พุทธองค์ทรงแสดงไว้ ก็จะไม่ไกลจากเราชีวิตเราก็จะอยู่บนเส้นทางสวรรค์และพระนิพพาน เพราะตัวเราเองเป็นผู้ลิขิตชีวิต อย่าได้ประมาทชะล่าใจยิ่งวันเวลาผ่านไป ชีวิตเราใกล้จะหมดอายุขัยเข้าไปทุกที ให้รีบสร้างบารมีและหมั่นปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกคนนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนาโดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)