Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน กลับตัวกลับใจใหม่
ในมงคลชีวิต ๓๘ ประการ มงคลข้อแรกคือการไม่คบคนพาลและมงคลข้อที่ ๒ การเลือกคบแต่บัณฑิต มงคลชีวิตทั้งสองข้อนี้ เป็นหลักสำคัญในการฝึกฝนอบรมตนเองให้ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมสองข้อเบื้องต้นนี้ไม่ได้
การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เหมือนกับการเดินขึ้นบันได เราจะต้องก้าวผ่านขั้นแรกๆให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง คนเราก็เช่นเดียวกัน จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ก็ต้องรู้จักเลือกคบคนให้ดี ถ้าคบกับบัณฑิตนักปราชญ์ เราก็จะพลอยเปรื่องปราชญ์ไปด้วย
แต่ถ้าคบหากับคนพาล อัปมงคลทั้งหลายจะหลั่งไหลมาสู่ตัวเราได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่หวังความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต จะต้องไม่มองข้ามสิ่งเหล่านี้ เพราะนั่นหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าหรือตกต่ำ ย่ำแย่ ในชีวิตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินทางไกลไปสู่อายตนนิพพาน เราจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับบัณฑิตนักปราชญ์ ใกล้ชิดกับพระรัตนตรัย และต้องมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างเดียวเท่านั้น ชีวิตของเราจะได้สมหวังดังใจปรารถนาในการเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกๆ คน
มีวาทธรรมซึ่งปรากฏในโสมมิตตเถรคาถา ความว่า
“เต่าตาบอด เกาะกิ่งไม้เล็กๆ ย่อมจมลงไปในห้วงน้ำใหญ่ ฉันใด กุลบุตรอาศัยคนเกียจคร้านดำรงชีพอยู่ ย่อมจมลงในสังสารวัฏ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุคคลพึงเว้นคนเกียจคร้าน ผู้มีความเพียรเลวทรามเสีย ควรอยู่กับบัณฑิตทั้งหลาย ผู้สงัด เป็นอริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว บำเพ็ญฌาน มีความเพียรอันปรารภแล้วอยู่เป็นนิตย์”
จากเถรคาถาบทนี้ ชี้ให้เราเห็นว่าสภาวะแวดล้อมมีความเกี่ยวเนื่องถึงกันหมด ท่านพูดเปรียบเทียบด้วยการพูดถึงเต่าตาบอดที่อยากจะแหวกว่ายอยู่เหนือพื้นน้ำ แต่มองไม่เห็น จึงไปเกาะอาศัยกิ่งไม้เล็กๆ แต่ไม่อาจที่จะลอยตัวอยู่ได้ เพราะการที่จะลอยตัวอยู่ได้ ต้องอาศัยเกาะกิ่งไม้ใหญ่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
คนเราก็เช่นกัน จะต้องคบหาคนดี มีศีลมีธรรม มีปัญญาและความเพียรจึงจะสามารถเอาดีได้ เพราะเราคบคนเช่นไร เราเองจะเป็นคนเช่นนั้น คบคนเกียจคร้านก็จะเป็นคนเกียจคร้าน คบคนขยันก็จะเป็นคนขยัน ฉะนั้น หากเราปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองให้กับตนเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเลือกคบแต่บัณฑิตนักปราชญ์
เพราะการคบมิตรไม่ได้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิต แต่เป็นทั้งหมดของชีวิตทีเดียว กัลยาณมิตรถือว่าเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ที่จะทำให้ชีวิตมีแต่ความเจริญก้าวหน้าฝ่ายเดียว ดังนั้น การคบคนหรือเลือกคบเพื่อนจึงมีความสำคัญมากทีเดียว
ดังตัวอย่างของพระวิมลเถระ ซึ่งเป็นพระที่กล้าแก้ไขปรับปรุงตนเอง เมื่อท่านพิจารณาเห็นว่าคนที่ตนกำลังคบหาด้วย จะทำให้ท่านสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นได้ ท่านได้ปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยนอบน้อมปราศจากทิฐิมานะ เรื่องราวมีอยู่ว่า
ในอดีตกาล อุบาสกคนหนึ่งชื่อโสมมิตตะ เป็นผู้มีบุญญาธิการอันกระทำไว้ดีแล้วในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ หลายพระองค์ และในชาติหนึ่งท่านได้สั่งสมบุญเป็นพิเศษและเป็นที่ประทับใจไม่รู้ลืม ท่านได้เกิดในตระกูลฐานะดีตระกูลหนึ่ง
ในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี ครั้งหนึ่ง ท่านได้สดับรับฟังพระพุทธคุณ ที่พรรณนาถึงพระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย จึงเกิดจิตเลื่อมใสในพระพุทธองค์เป็นอย่างมาก ต่อมาวันหนึ่งด้วยใจของท่านที่ตรึกระลึกนึกถึงพระพุทธคุณจนเกิดความปีติแผ่ซ่านอยู่เป็นประจำ ทำให้รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอยู่เสมอ
เมื่อท่านเห็นต้นทองกวาวที่มีดอกบานสะพรั่ง จึงเก็บดอกทองกาวมาแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ เพื่อบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุญแห่งความเลื่อมใสนั้น ได้ส่งผลให้ท่านได้ท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภูมิ คือ เวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยไม่พลัดไปเกิดในทุคติเลย
ครั้นมาถึงในสมัยพุทธกาล บุญได้นำพาท่านให้มาเกิดในตระกูลของพราหมณ์ ณ เมืองพาราณสี มีชื่อว่าโสมมิตตะ เมื่อเติบโตขึ้น เรียนจนจบไตรเพทแล้ว
ก็มีความคุ้นเคยกับพระวิมลเถระ คราวใดที่สะดวก จะไปฟังธรรมกับพระเถระอยู่เสมอๆ ยิ่งได้ฟังธรรม ก็ยิ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งในที่สุดได้ตัดสินใจออกบวช และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับพระเถระ
แต่เนื่องจากพระวิมลเถระไม่ค่อยเอาใจใส่ในการประพฤติปฏิบัติธรรมเท่าที่ควร ในแต่ละวันหลังจากฉันเสร็จ ท่านจะหนักไปในการจำวัดพักผ่อน ได้ปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อนานวันเข้า พระโสมมิตตะเห็นว่าการที่ท่านอยู่ใกล้พระเถระ อาจจะเป็นเหตุให้ตนติดนิสัยอย่างนั้นไปด้วย
จึงหาเหตุผลบอกพระเถระว่าต้องการจะไปทำความเพียรที่อื่น เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพระมหากัสสปเถระ ได้ยึดเอาพระมหากัสสปเถระเป็นต้นบุญต้นแบบในการฝึกฝนตนเอง ตั้งตนอยู่ในโอวาทของพระเถระ
และเริ่มเจริญกัมมัฏฐานบำเพ็ญเพียรภาวนา ต่อมาไม่นาน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็กล่าวคติธรรมว่า
“เราเห็นต้นทองกวาวมีดอกบาน จึงประคองอัญชลีนึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด แล้วนำดอกทองกวาวโยนขึ้นบูชาในอากาศ ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนขึ้นแล้ว เปรียบเหมือนช้างตัวประเสริฐ ตัดบ่วงได้เด็ดขาดแล้ว เป็นผู้ปราศจากกิเลสอาสวะ การมาในสำนักแห่งพระพุทธเจ้าของเรา เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว”
หลังจากบำเพ็ญสมณธรรมอยู่กับพระมหากัสสปเถระได้ระยะหนึ่ง ท่านก็นึกถึงพระอาจารย์เก่า คือ พระวิมลเถระ ด้วยความเมตตาเกรงว่าการบวชของพระอาจารย์จะเป็นโมฆะ จึงได้ออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้
เมื่อไปถึงได้พูดเป็นคติธรรมให้พระอาจารย์ได้สติว่า “เต่าตาบอด เกาะกิ่งไม้เล็กๆ ย่อมจมลงไปในห้วงน้ำใหญ่ ฉันใด กุลบุตรอาศัยคนเกียจคร้าน ย่อมจมลงในสังสารวัฏ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุคคลพึงเว้นคนเกียจคร้านผู้ไม่ปรารภความเพียรเสีย ควรอยู่กับบัณฑิตทั้งหลาย ผู้สงัด เป็นอริยะ มีใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บำเพ็ญฌาน และปรารภความเพียรอยู่เป็นนิตย์”
เมื่อพระวิมละได้ฟังคติธรรมนั้นแล้ว ก็เกิดความสลดสังเวชใจในข้อวัตรปฏิบัติของตน จึงเริ่มตั้งใจลงมือปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
จะเห็นได้ว่า การจะได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต นอกจากต้องอาศัยบุญเก่าที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว เรายังจะต้องรู้จักการเลือกคบคนด้วย เพราะบุคคลคบคนเช่นไร จะเป็นคนเช่นนั้น เนื่องจากชนทุกเชื้อชาติทุกศาสนา ต่างมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป เราต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการเลือกคบคน ถ้าไม่เลือกให้ดี ชีวิตอาจหมดโอกาสที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานในภพชาติปัจจุบัน
ดังนั้น เมื่อเราสั่งสมบุญอะไร ก็อย่าลืมที่จะอธิษฐานให้ห่างไกลจากคนภัยคนพาล ให้ได้คบแต่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านจะได้คอยชี้แนะให้เราพบกับบัณฑิตภายใน คือ ได้เข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งท่านเป็นผู้รู้แจ้งที่แท้จริง ถ้าทำได้อย่างนี้ นอกจากเราจะสามารถมีที่พึ่งอันประเสริฐ คือ พระรัตนตรัยภายในแล้ว ยังจะสามารถเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้กับชาวโลกได้