ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ความสำคัญของศีล


ธรรมะเพื่อประชาชน : ความสำคัญของศีล

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

 

DhammaPP_01.jpg

ความสำคัญของศีล

 

                ความเพียรพยายามเท่านั้นจะทำให้เราเข้าถึงฝั่งแห่งใจหยุดนิ่ง แม้วันนี้จะมืดตื้อมืดมิด แต่ก็ยังสามารถเข้าถึงธรรมได้เหมือนกัน ความมืดไม่เคยเกิน ๑๒ ชั่วโมงต่อวัน แล้วดวงตะวันก็จะสาดแสงเงินแสงทองขจัดความมืดให้หมดไป แสงแห่งทำภายในก็เช่นเดียวกัน สักวันหนึ่งเมื่อใจเราบริสุทธิ์หยุดนิ่งถูกส่วนเข้าแสงสว่างความบริสุทธิ์ก็จะปรากฏเกิดขึ้นมาเอง พอแสงสว่างเกิดเดี๋ยวภาพก็จะตามมา สิ่งเหล่านี้น่ะมีอยู่แล้วไม่ต้องไปแสวงหา

 

 

 

                   DhammaPP_.02.jpg
        
                     ถ้าทำให้ถูกวิธีคือหยุดนิ่งเฉยอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เรื่อยไป โดยไม่คำนึงถึงเวลา เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เข้าถึงพระธรรมกาย เราก็จะได้เห็นแผนผังทั้งชีวิต สิ่งที่เป็นความลับก็จะถูกเปิดเผยออกมา แล้วเราก็จะเป็นผู้รู้แจ้งโลกไปตามความเป็นจริง โดยไม่มีอะไรมาปิดบังได้เลย ฉะนั้นน่ะอย่าได้ท้อแท้ท้อถอยในการทำความเพียรกันนะจ๊ะ

 

 

 

DhammaPP_03.jpg

                          มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในสีลวเถรคาถา. ความว่า คนพาลผู้ไม่มั่นคงอยู่ในศีลทั้งหลาย ย่อมได้รับการนินทา ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้

 

 

 

DhammaPP_04.jpg

                          เมื่อตายไปแล้วย่อมได้รับทุกข์โทมนัสในอบายภูมิและในที่ทุกสถาน

 

 

 

DhammaPP_05.jpg

                       ส่วนผู้มีปัญญามั่นคงอยู่ได้ดีในศีลทั้งหลายย่อมได้รับเกียรติคุณ ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ครั้นตายไปแล้วก็ได้รับความสุขโสมนัสในสวรรค์เป็นผู้มีใจชื่อบานในที่ทุกสถาน ศีลเท่านั้นน่ะเป็นยอด 

 

 

 

DhammaPP_06.jpg


                ส่วนผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลก ผู้มีทั้งศีลและปัญญาจึงมีชัยชนะในหมู่มนุษย์และเทวา พระบรมศาสดาทรงย้ำเตือนเหล่าภิกษุสาวกเป็นประจำว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้ ชีวิตของเรานั้นจะยังไม่สิ้นสุดลงที่เชิงตะกอนเพียงอย่างเดียว แต่ยังข้องเกี่ยวถึงปรโลกอีกด้วย เมื่อจะสอนสั่งเหล่าพุทธบริษัท ก็ไม่ได้สอนเฉพาะในเรื่องการทำมาหากิน หรือเรื่องธุรกิจอันจะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม พุทธองค์กลับทรงเน้นเรื่องจิตใจมากกว่า ทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนเป็นผู้มีศีลมีธรรม สอนให้ละชั่ว ทำดีและทำใจให้ผ่องใส พระองค์ทรงนำศีลมาตรัสสอนเหล่าเวนัยสัตว์ ทุกชนชั้น ตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ พ่อค้านักธุรกิจชาวไร่ชาวนา รวมไปถึงคนขอทานทั้งหลาย ทรงย้ำว่าศีลเท่านั้นเป็นเครื่องประการชีวิต และประกันภัยในสังสารวัฏได้ดีที่สุด

 

 

 

DhammaPP_07.jpg


                ศีล ๕ เท่านี้นที่จะทำให้คนทั้งโลกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ละโลกแล้วก็มีสุคติ เป็นที่ไปถ้าหากรักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ศีลจะนำไปสู่การมีสมาธิที่ตั้งมั่น สมาธิที่ตั้งมั่นนำไปสู่การรู้แจ้งภายใน หรือแม้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว ศีลก็ยังตามรักษา ให้เป็นที่ยอมรับของทุกคนในสังคม ศีลเป็นมาตรฐานวัดความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผู้ที่รักษาศีลได้ดีแล้วจึงได้ชื่อว่าดำเนินชีวิตอยู่ด้วยสติและปัญญา ทำให้เป็นผู้องอาจในท่ามกลางสมาคมของนักปราชญ์บัณฑิต แม้พราหมณ์ผู้เคร่งครัดในลัทธิของตนเอง ก็ยังยอมรับว่าการจะเป็นพราหมณ์ที่สมบูรณ์ได้นั้น ต้องเพรียบพร้อยไปด้วยคุณคือศีลนี่แหละ 

 

 

 

DhammaPP_08.jpg


                 ในสมัยพุทธกาลที่เมืองจำปาซึ่งเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลประชาชนพลเมืองอยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น ทุกคนมีความสุขอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมือง ซึ่งเป็นพราหมณ์ชื่อว่าโสณทัณฑะ วันหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่ภิกษุสงฆ์ได้เสด็จจาริกผ่านมาที่เมืองนี้ พราหมณ์เจ้าเมืองจึงพาคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ พร้อมกับมหาชนเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์

 

 

 

DhammaPP_09.jpg

 

                ขณะโสณทัณฑะพราหมณ์เดินทางไปใกล้จะถึงที่ประทับ ก็วิตกกังวลว่า เราเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหาที่ไม่ควร พระองค์ก็จะตรัสทักท้วงขึ้นมา ทำให้เราต้องอับอายขายหน้าชาวเมือง หรือถ้าหากพระองค์จะตรัสถามคำถามบางอย่างกับเรา แล้วเราทูลตอบไม่ได้ พระองค์ก็จะทรงตำหนิเราต่อหน้าชาวเมืองทำให้เราต้องได้รับความอับอาย และเป็นที่ดูถูกดูหมิ่นของชาวเมืองมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าหากเราจะขอตัวกลับซะตอนนี้ คนอื่นเขาจะตำหนิได้ว่าเราเป็นคนโลเลไม่มีความกล้าหาญจึงอธิษฐานในใจว่า ขอให้พระองค์ตรัสถามปัญหาที่เราเคยเรียนรู้มาอย่างดีแล้วด้วยเถิด

 

 

 

DhammaPP_10.jpg


                แม้พระบรมศาสดาเองก็ทรงทราบถึงความวิตกกังวลของพราหมณ์ แต่ญานะทัศนะอันบริสุทธิ์ พวกพราหมณ์มาถึงจึงตรัสถามว่า พราหมณ์คนทั่วไปจะต้องมีคุณสมบัติกี่ข้ออะไรบ้าง ท่านถึงจะเรียกเขาว่าเป็นพราหมณ์

 

 

 

DhammaPP_11.jpg


               โสณทัณฑะพราหมณ์ฟังคำถามแล้วก็โล่งอก จึงทูลตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า ผู้ที่เป็นพราหมณ์จะต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติ ๕ ประการคือ มีชาติบริสุทธิ์หมายถึงว่าตลอด ๗ ชั่วอายุคนจะต้องสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์เท่านั้น และมีความรู้ดีต้องจำคัมภีร์ไตรเพทได้ถูกต้องสมบูรณ์ ทั้งยังต้องมีรูปงาม ผิวพรรณผ่องใส น่าดูน่าชม เป็นผู้รักษาศีลบริสุทธิ์แล้วก็ข้อสุดท้ายจะต้องเป็นบัณฑิต มีปัญญา     

       

 

 

DhammaPP_.12.jpg

 

               พระบรมศาสดาตรัสถามอีกว่าคุณสมบัติทั้ง ๕ ข้อนี้ท่านพอจะลดลงสักข้อได้หรือเปล่าโดยที่ท่านก็ยังเรียกเขาว่าเป็นพราหมณ์อยู่เหมือนเดิม พราหมณ์ทูลตอบว่า ได้พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์สามารถตัดเรื่องผิวพรรณ รูปลักษณ์ภายนอกออกไปได้ ถ้าเช่นนั้นท่านจะตักออกอีกสักข้อได้ไหม  ได้พระเจ้าค่ะ ตัดเรื่องการท่องมนต์ออกก็ยังเรียกได้ว่าเป็นพราหมณ์เหมือนกัน ถ้าจะตัดออกอีกให้เหลือ ๒ ข้อเท่านั้น จะทำได้ไหม ถ้าลดเรื่องชาติกำเนิดก็ยังเรียกว่าพราหมณ์พระเจ้าค่ะ 

 

 

 

DhammaPP_13.jpg

 

                 เมื่อโสณทัณฑะพราหมณ์ลดคุณสมบัติของพราหมณ์ลงเหลือเพียง ๒ ข้อ พวกพราหมณ์ที่มาด้วยกันก็กล่าวห้ามอื้ออึงไปทั่วว่า ถ้าหากท่านลดคุณสมบัติข้อนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้พระสมณโคดมได้ช่องรุกรานเอาได้นะ โสณทัณฑะพราหมณ์ไม่ใส่ใจกับคำทัดทานเหล่านั้น ได้กล่าวโต้กลับไปว่า พวกท่านเห็นอังคกะมาณพหลานของเราที่นั่งรวมประชุมในสถานที่แห่งนี้ไหม เขาเป็นผู้มีผิวพรรณดี รูปร่างงดงาม ท่องจำมนต์ก็เก่ง ไม่มีตกไม่มีหล่นทุกตัวอักษรจำได้หมด มารดาบิดาสืบเชื้อสายจากตระกูลพราหมณ์ตลอด ๗ ชั่วบรรพบุรุษ แต่ยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา โดยที่ผิวพรรณ มนต์ชาติไม่อาจช่วยอะไรได้ แต่เมื่อใดก็ตาม พราหมณ์ เป็นผู้มีศีล มีปัญญา มีคุณสมบัติ ๒ ข้อนี้ จึงจะถือได้ว่าเป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์ และสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นพราหมณ์อย่างภาคภูมิใจ พระบรมศาสดาสดับคำของโสณทัณฑะพราหมณ์แล้ว ตรัสถามต่อไปว่าคุณสมบัติของพราหมณ์ถ้าตัดให้เหลือเพียงข้อเดียว ท่านว่าสามารถตัดออกได้หรือเปล่า คราวนี้พราหมณ์ทูลปฏิเสธว่า ศีลและปัญยา ๒ ข้อนี้ข้าพระองค์ไม่สามารถจะ ลดลงได้อีกแล้ว เพราะว่าศีลมีในบุคคลใดปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใดศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของผู้มีศีล ศีลเป็นของผู้มีปัญญา ศีลย่อมชำระปัญญาให้บริสุทธิ์ ปัญญาก็ชำระศีลให้บริสุทธิ์ได้เช่นกัน เหมือนคนใช้ล้างมือ ใช้เท่าล้างเท้า ใช้มมือล้างมือ ศีลกับปัญญาเป็นยอดในโลก

 

 

 

DhammaPP_14.jpg


                        เห็นไหมจ๊ะ แม้บัญฑิตนักปราชณ์ในศาสนาอื่นก็ยังยืนยันว่า ผู้ที่จะได้รับการยกย่อง สรรเสริญว่า เป็นคนดีจะต้องเป็นผู้ที่มีศีล คนมีศีลก็คือคนมีปัญญาถ้าไม่มีศีลยังไม่ชื่อว่ามีปัญญา ซึ่งพวกเราฟังแล้วอาจจะรู้สึกสับสนกันอยู่บ้าง เพราะเห็นคนในโลกนี้จะเรียนจบปริญญาตรีปริญญาโทจบด็อกเตอร์ทั้งจากนายและต่างประเทศ เป็นปัญญาชนแต่ก็ยังผิดศีลกันอยู่ ซึ่งตรงนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความรู้ที่ร่ำเรียนมานั้นเป็นเพียงความรู้ที่ใช้ในการทำมาหากินเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยให้พ้นจากภัยในอบายเหมือนหลานชายของพราหมณ์ ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมสามารถท่องจำมนต์ได้หมดแต่ยังผิดศีล ทำบาปอกุศลอยู่อย่างนี้ไม่เรียกว่าปัญญาชน ยังเป็นธุรชนอยู่นะจ๊ะ 


                        ปัญญาชนที่แท้จริงนั้น คือผู้มีปรีชาหยั่งรู้ถึงเหตุและผลสามารถแยกแยะ ผิดถูก ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ เป็นต้น ตลอดจนรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงและดำเนินชีวิตบนเส้นทางที่ถูกต้อง คือเส้นทางที่นำไปสู่สวรรค์และนิพพานอย่างเดียว คนเหล่านี้อาจเรียนไม่จบปริญญาทางโลก จะสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ด่างไม่พร้อยสั่งสมบุญทุกชนิดจนปิดประตูอบาย เปิดหนทางสู่สวรรค์นิพพานให้กับตนเองได้นี่แหละคือผู้มีปัญญาอย่างแท้จริงนะจ๊ะ

 

 

 
 
 
 
 
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล