Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
คิดดีมีดวงตาเห็นธรรม
เราเกิดมาพบชาติหนึ่งควรมีเป้าหมายชีวิตให้กับตนเอง ถึงแม้จะเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่น ก็ควรมีเอาไว้ ขอเพียงแต่ให้เป้าหมายนั้นเป็นไปเพื่อบุญกุศ เพื่อให้ได้สวรรค์และนิพพาน สำหรับเป้าหมายนักสร้างบารมีพันธุ์รื้อวัฏฏะ คือจะมุ่งสร้างบารมีทุกรูปแบบ ทุกเวลานาที เพื่อมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม
เมื่อมีเป้าหมายแล้วก็ต้องพยายามทำให้สำเร็จ แม้จะใช้เวลานานเพียงใด ก็จะมุ่งมั่นทำเป้าหมายให้กลายเป็นจริง การมีเป้าหมายจะทำให้ชีวิตมีความหวัง เมื่อชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง จะทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เมื่อรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าจิตใจก็จะมีความสุขตามไปด้วย ชีวิตที่มีคุณค่าคือชีวิตที่เกิดมา แล้วก็ได้สั่งสมบูรณ์กุศลอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิตนะจ๊ะ
มีธรรมะภาษิตที่ปรากฎในเถระคาถาประธานความว่า คนมีปัญญาน้อย คิดแต่จะกล่าวโทษต่อผู้ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากพระสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินที่อยู่ไกลกัน คนมีปัญญาน้อยคิดแต่จะกล่าวโทษต่อผู้ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัจธรรมเหมือนพระจันทร์ข้างแรมฉะนั้น การคอยจ้องจับผิดข้อบกพร่องของคนอื่น แล้วนำมาวิจารณ์ให้คนอื่นทราบ ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิตนักปราชญ์ เป็นการมองโลกในแง่ร้าย
เหมือนมีผ้าห่มผืนใหญ่เอาไว้ห่มกันหนาว มีรอยด่างดำเพียงนิดเดียว ก็มัวแต่สนใจจุดดำและนำมาตำหนิ ส่วนข้อดีของผืนผ้าที่สามารถนำมาห่มกันหนาวได้นั้นน่ะไม่ได้พูดถึงเลย
หรืออ่านหนังสือเล่มใหญ่ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ มีประโยชน์และควรจดจำมากมาย แต่กลับไปจำตรงที่มีการพิมพ์ตกหล่นเพียงไม่กี่คำอย่างนี้เป็นต้น
การจับผิดไม่เคยทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ ใจก็จะไม่ใส เพราะใจเห็นแต่ของเสีย ๆ
บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านสอนให้มองโลกในแง่ดี ให้จับเอาข้อดีของคนอื่นมาสรรเสริญ คนอื่นมีคุณธรรมอะไรก็นำมาพัฒนา ปรับปรุงตัวเองให้สมบูรณ์ยิ่งยิ่งขึ้นไป เราควรหลีกเลี่ยงคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้ายเพราะหากอยู่ใกล้สิ่งใด มักจะมีแนวโน้มไปตามกลุ่มที่เข้าใกล้ เราต้องรู้จักเลือกคบหาสมาคมกับกลุ่มที่มีทัศนคติ ในการมองโลกที่ดีและเป็นบวก
หากเรายังคงวนเวียนและคบค้าสมาคม กับผู้มองโลกในแง่ลบ ชีวิตก็เหมือนมีสิ่งที่คอยขัดขวาง และกระชากลากถูให้คล้อยตามกลุ่มนั้น ชีวิตที่มองโลกในแง่ร้ายไม่มีวันที่จะมีความสุขได้ เราจะต้องรู้จักหลีกเลี่ยง ที่จะเสวนาและอยู่ร่วมกับกลุ่มนี้ เพื่อจะให้ชีวิตที่เราพยายามพยุงไว้เป็นไปได้ อย่างมีความสุขในทุก ๆ สถานการณ์นะจ๊ะ
วันนี้หลวงพ่อมีตัวอย่างของพระอรหันต์รูปหนึ่ง ชื่อยสทัตตเถระ ก่อนบวชท่านมีทิฐิมานะคอยจ้องจับผิดในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะอาศัยพระพุทธองค์ทรงเป็นยอดกัลยาณมิตรให้ จึงเปลี่ยนนิสัยมาเป็นจับถูกและนำคำสอนดี ๆ นั้นมาผูกเข้าหากัน ทำให้ท่านหลุดพ้นจากอัสวะกิเลสเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา
เรื่องของท่านมีอยู่ว่าในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตร พระยสทัตตเถระได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ หลังจากเรียนจบวิชาความรู้ของพราหมณ์แล้ว แทนที่จะใช้ชีวิตตามแบบฉบับของพราหมณ์ทั่วไป คือการครองเรือนแล้วก็เป็นเจ้าพิธีกรรมตามงานพิธีต่าง ๆ ด้วยความเป็นผู้มีปัญญาสามารถสอนตนเองได้ จึงได้ตัดสินใจออกบวชเป็นฤาษี ตั้งใจประพฤติพรตบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าตามลำพัง ท่านเป็นฤาษีที่มักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย
ขณะบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าตามลำพังนั้น ท่านก็ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตร เสด็จเหาะผ่านมาทางอาศรม ดวงตาของท่าน จ้องมองพุทธองค์ด้วยความปิติเลื่อมใส เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก ไม่เคยเห็นใครที่จะงดงามดังเช่น พระพุทธองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ อีกทั้งพระรัศมีของพระพุทธองค์ก็สว่างสไวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก
ด้วยการเป็นผู้ฉลาดในการสั่งสมบุญ แทนที่จะมองด้วยความเลื่อมใสเพียงอย่างเดียว ท่านได้ประคองอัญชลีพนมมือ สวดสรรเสริญพระพุทธองค์ไปด้วย ด้วยบุญที่ท่านน่ะได้เห็นบุคคลอันเป็นสุดยอด แห่งทัศนานุตริยะ คือได้การเห็นอันประเสริฐ และบุญที่ได้สวดสรรเสริญพุทธองค์ ด้วยความเคารพเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในครั้งนั้น ส่งผลให้ท่านท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิเท่านั้น คือในเทวโลก และในมนุษยโลกไม่เคยรู้จักทุคติเลย
เมื่อถึงยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลมัลกษัตริย์ ในมลรัฐมีชื่อว่ายสทัตตพอถึงวัยเรียนรู้ท่านก็ได้เดินทางไปศึกษา หาความรู้ที่เมืองตักศิรา หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วก็ไม่ได้ยินดีในความรู้เพียงเท่านั้น เพราะรู้ว่าในโลกนี้ยังมีความรู้ที่น่าศึกษาอีกมากมาย โดยเฉพาะความรู้ที่เป็นไปเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั่น ท่านยังแสวงหาไม่พบเลย จึงชักชวนปริพาชกชื่อว่าสุปปิยะ เที่ยวเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาครูเก่งครูดี
และโอกาศทองชีวิตในการเรียนรู้ครั้งสำคัญของท่านก็มาถึง เพราะได้ข่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ท่านยสทัตตกับปริพพาชกสุปปิยะ ก็เดินทางไปเข้าเฝ้าทันทีเพราะต้องการศึกษาความรู้อันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นไปเพื่อการบรรลุอมตนิพพาน เนื่องจากทั้งสองทราบว่า มีบัณฑิตนักปราชญ์พากันมากราบไหว้ และมอบตัวเป็นสาวกแทบทั้งเมือง
เมื่อยสทัตตมานพและสุปปิยะปริพพาชก ได้โอกาสเข้าเฝ้าก็ทูลถามปัญหากับพระพุทธองค์ โดยสุปปิยะปริพพาชกเป็นผู้ถามปัญหา ส่วนยสทัตตมานพเป็นผู้คอยจับผิดคำตอบของพระพุทธองค์ ซึ่งทั้งสองก็ได้นัดแนะกันเอาไว้แล้วว่า แม้พระบรมศาสดาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็จะไม่ปักใจเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างง่าย ๆ ต้องช่วยกันจับผิดในคำสอนนั้นเสียก่อน
แต่ดูเหมือนว่าทุกคำถามที่สุปปิยะปริพพาชกถาม ไม่มีคำตอบใดที่ยสทัตตมานพจะหาข้อบกพร่องได้เลย พุทธวิสัชนาแจ่มแจ้งชัดเจน ทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและกระเบื้องปลาย เหมือนหงายของที่คว่ำ พอหงายก็รู้ว่าอะไรถูกครอบเอาไว้เห็นได้หมดถูกต้องแล้วก็ชัดเจน
พุทธองค์ทราบแต่แรกแล้วว่า ทั้งยสทัตตมานพและสุปปิยะปริพพาชก ต้องการจะทดสอบภูมิปัญญาของพระองค์ จึงเปิดโอกาสให้คนทั้งสอง ซักถามปัญหาอย่างเต็มที่ เพราะพระองค์ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐตั้งแต่สมัยที่อยู่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์แล้ว พุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งธรรมทั้งปวง เป็นผู้ไร้ปัญหา มีแต่คำตอบซึ่งพร้อมเสมอที่จะไขข้อข้องใจ ของผู้ปรารถนาความหลุดพ้น
ครั้นทรงทราบว่าทั้งสองหมดปัญหาที่จะถามแล้วจึงตรัสเตือนว่า การจ้องจับผิดวาทะของพุทธองค์นั้น ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่การฟังด้วยความเคารพเป็นเหตุให้ได้ปัญญาเพื่อการหลุดพ้นได้
เมื่อยสทัตตมานพรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ การกระทำของพวกตน ก็เกิดความอัศจรรย์ใจจากเดิมที่มีความประทับใจ ในการตอบคำถามอยู่แล้ว ก็ยิ่งบังเกิดความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นก็รู้สึกละอายใจที่ตัวเองไม่รู้จักพุทธานุภาพ จากนั้นยสทัตตมานพได้ทูลขอบวช
เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว ท่านก็ปรารภความเพียรอย่างเต็มที่ ไม่นานก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีชีวิตที่สว่างไสว ทั้งกลางวันและกลางคืน ความสงสัยอันใดที่มีอยู่ก็หมดสิ้นไปจากใจ
เห็นไหมจ๊ะ ว่าการฟังที่ดีนำไปสู่ปัญญาหลุดพ้น ถ้าจับดีก็จะมีดวงตาเห็นธรรม แต่ถ้าฟังแล้วจับผิดก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แถมยังมีโทษอีกด้วย ถ้าฟังธรรมแล้วปฏิบัติตามธรรม ชีวิตของเราจะสามารถพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นได้ โดยเราจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องในตัวเราเองได้ ซึ่งการเห็นข้อดีของผู้อื่นและข้อบกพร่องของตนเองและสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราจะต้องหมั่นปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เพราะใจที่ใส ๆ จะได้เข้าถึงธรรมะภายใน จะเห็นแต่ของใส ๆ และมีพลังใจในการพัฒนากายและวาจาให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้เราดำเนินอยู่บนเส้นทางสวรรค์ และพระนิพพานได้ตลอดไปทุกภพทุกชาตินะจ๊ะ