ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ ๒ อาฬวกยักษ์ 


ธรรมะเพื่อประชาชน : ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ ๒ อาฬวกยักษ์ 

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

 

 DhammaPP__01.jpg

ชัยชนะครั้งที่ ๒ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

(ตอน ชนะอาฬวกยักษ์)       

                  อายตนนิพพานเป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องเป็นผู้ที่มีใจหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง ปัจจุบันแม้หลายท่านจะมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนิพพาน แต่ไม่ว่าจะมีความเข้าใจอย่างไร อายตนนิพพานซึ่งเป็นเครื่องรองรับพระนิพพานยังคงมีอยู่ พระนิพพานหรือธรรมกายของพระพุทธเจ้าก็ยังคงมีอยู่ เป็นอมตะและเป็นบรมสุขที่เที่ยงแท้ถาวร ซึ่งผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า พระนิพพานเป็นเยี่ยม การไปสู่อายตนนิพพาน เป็นวิสัยของผู้มีใจหยุดที่ละเอียดมากๆ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ผู้ไปถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึง เพราะมัวติดอยู่ในเบญจกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เราจึงไม่ควรเสียเวลามาถกเถียงกัน ควรจะลงมือปฏิบัติ พิสูจน์ด้วยตนเอง เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงเช่นเดียวกับผู้รู้ทั้งหลาย

 

 

DhammaPP__02.jpg

                  มีบทสรรเสริญพุทธคุณใน พุทธชัยมงคลคาถา บทที่ ๒ ว่า

                   “มาราติเรกมภิยุชฺฌิตสพฺพรตฺตึ
                   โฆรมฺปนาฬวกมกฺขมถทฺธยกฺขํ
                   ขนฺตีสุทนฺตวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
                   ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

                พระจอมมุนีได้ชัยชนะต่ออาฬวกยักษ์ ผู้มีจิตสันดานหยาบกระด้าง ปราศจากความอดทน มีฤทธิ์มาก ได้เข้ามาต่อสู้จนตลอดทั้งคืน ด้วยวิธีทรมานอย่างดี คือ พระขันติธรรม ด้วยเดชแห่งชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่านเถิด”

                สำหรับชัยชนะครั้งที่ ๒ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชัยชนะที่ได้มาด้วยขันติธรรมเป็นเลิศ และด้วยเมตตานุภาพอันไม่มีประมาณ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าไปบ้างแล้ว จึงขอนำมาเล่าย่อๆว่า พระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะต่ออาฬวกยักษ์อย่างไรบ้าง  

 

 

DhammaPP__03.jpg

                เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล  พระราชาเมืองอาฬวีถูกยักษ์จับ แต่พระองค์ทรงให้สัญญากับยักษ์ว่า ถ้าหากยักษ์ปล่อยพระองค์ไป พระองค์จะส่งคนมาให้ยักษ์กินเป็นอาหารทุกวันเมื่อพระราชารอดชีวิตมาได้ ทรงรับสั่งให้อำมาตย์ส่งนักโทษนำอาหารใส่ถาดทองไปให้ยักษ์กินที่ใต้ต้นไทรใหญ่  เมื่อนักโทษผู้เคราะห์ร้ายไปถึงโคนต้นไทร จะถูกยักษ์จับกินเป็นอาหาร

 

 

DhammaPP__05.jpg

                 ต่อมาเมื่อเรือนจำหมดนักโทษ  พระราชาทรงรับสั่งให้นำเด็กทารกเกิดใหม่ส่งไปให้ยักษ์กิน ทำให้หญิงที่ใกล้จะคลอดลูก ต้องหลบหนีไปคลอดลูกที่อื่น เหลือแต่อาฬวกุมารเพียงพระองค์เดียว ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังตัดสินพระทัย ให้นำพระกุมารส่งไปให้ยักษ์กิน

 

 

DhammaPP__04.jpg

                ขณะเดียวกันนั้นเอง พระบรมศาสดาซึ่งประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่งด้วยพุทธจักขุ พระพุทธองค์รู้ถึงอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของอาฬวกยักษ์ จึงเสด็จออกจากเมืองสาวัตถีไปยังที่อยู่ของยักษ์ เป็นระยะทางไกลถึง ๓๐๐ โยชน์

 

DhammaPP__06.jpg

                พระองค์ได้เสด็จเข้าไปประทับยืนอยู่ที่ประตูวิมานของยักษ์ ขณะนั้นอาฬวกยักษ์ไปประชุมสมาคมของยักษ์ที่หิมวันตประเทศ  เมื่อกลับมาถึงก็โกรธเป็นกำลัง ลุกขึ้นยืนบนพื้นมโนศิลาด้วยเท้าซ้าย เท้าขวาเหยียบบนยอดเขาไกรลาศ ทำลมให้ตั้งขึ้นด้วยคิดว่า จักทำลายพระพุทธเจ้า ลมพายุใหญ่ได้ถาโถมพุ่งตรงไปยังอาฬวีนคร ทำให้สถานที่ต่างๆ พินาศแหลกลาญ พัดหลังคาบ้านลอยไปในอากาศ

 

DhammaPP__07.jpg

                พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานว่า “ขอภัยพิบัติอย่าได้มีแก่ใครๆ” ด้วยแรงอธิษฐานนั้นทำให้พายุใหญ่ทำอันตรายใดๆ ผู้คนไม่ได้

 

 

DhammaPP__08.jpg

                เมื่ออาฬวกยักษ์ถึงปากถํ้า ได้ทำห่าฝนให้ตกลง ด้วยคิดว่าจะให้น้ำท่วมพระองค์ให้ตาย ฝนก้อนเมฆตั้งร้อยตั้งพันก่อตัวขึ้นแล้วตกลงมา ด้วยความแรงของน้ำฝน แผ่นดินแตกเป็นช่องๆ แต่ก็ไม่อาจทำให้แม้จีวรของพระองค์เปียกได้ อาฬวกยักษ์บันดาลฝนแผ่นหิน ฝนเครื่องประหาร ฝนถ่านเพลิง ฝนขี้เถ้า ฝนทรายให้ตกลงมา แต่ฝนเหล่านั้นกลายเป็นทิพยมาลาบูชาพระพุทธองค์

 

 

DhammaPP__09.jpg

                ครึ่งคืนผ่านไป ยักษ์ยังไม่สามารถเอาชนะได้ จึงแก้ทุสสาวุธ ยกชูขึ้น เหาะเวียนวนอยู่ใกล้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ปล่อยอาวุธไปในอากาศ ทุสสาวุธมีเสียงน่าสะพรึงกลัวแล่นไปในอากาศประดุจสายฟ้า แต่ครั้นมาใกล้พระพุทธองค์ ก็กลับกลายเป็นผ้าเช็ดพระบาท ตกลงที่เบื้องพระบาท อาฬวกยักษ์เห็นดังนั้น ยังไม่หมดหวัง รีบตรวจดูว่า เหตุใดหนอ พระสมณะจึงไม่กลัว ในที่สุด ตนรู้ว่าเพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งอยู่ในเมตตาธรรม จึงคิดจะทำให้พระองค์โกรธ ด้วยการขับไล่พระพุทธองค์ให้ออกไปในทันที

 

 

DhammaPP__10.jpg

                เมื่อยักษ์ขับไล่เช่นนั้น พระองค์ทรงเสด็จออกไปโดยดี อาฬวกยักษ์เห็นดังนั้น เริ่มมีจิตอ่อนโยน ด้วยคิดว่า “สมณะนี้ว่าง่ายจริง เราบอกคำเดียวก็ออกไปแล้ว เราสามารถชนะสมณะนี้ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ เสียแรงอุตส่าห์ต่อยุทธกับสมณะนี้อยู่ตั้งครึ่งค่อนคืนด้วยอาวุธร้ายแรง” ยักษ์ทดสอบให้พระบรมศาสดาเสด็จเข้าออกเช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง เพื่อดูว่า พระองค์เป็นผู้ว่าง่ายจริงไหม ครั้งที่ ๔ ยักษ์เกิดความคิดชั่วว่า เราจะทำให้สมณะนี้ลำบากตลอดคืนด้วยการเข้าๆ ออกๆ อย่างนี้แหละ” จึงสั่งว่า “ท่านจงออกไปสมณะ” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เราไม่ออกไป ท่านจงกระทำกิจที่ท่านควรทำเถิด”

 

 

 

DhammaPP__12.jpg

                เมื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จออกไปตามคำสั่ง จึงตั้งใจจะถามปัญหาที่ค้างใจมานาน เนื่องจากอาฬวกยักษ์เคยถามปัญหากับดาบส และปริพาชกที่มีฤทธิ์มีเดชที่มาสู่วิมานของตน  ครั้นตอบไม่ได้ ยักษ์ก็ควักหัวใจของท่านเหล่านั้น มาขยี้ทิ้งหมด ยักษ์นึกถึงปัญหาเหล่านั้นได้ รีบทูลถามพระศาสดาว่า “ดูก่อนสมณะ ข้าพเจ้าจะถามปัญหาท่าน ถ้าท่านไม่ตอบ ข้าพเจ้าจักควักดวงจิตของท่าน จักฉีกหัวใจของท่านและขว้างไปที่ฝั่งแม่นํ้าคงคาโน้น”

 

 

 

                      DhammaPP__11.jpg

                        พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เรายังไม่เห็นบุคคลใดในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ อีกทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะควักหทัยของเราโยนทิ้ง จะพึงฉีกหทัยของเรา หรือจับเราที่เท้าทั้งสองแล้วขว้างไปที่ฝั่งนํ้าคงคาได้ ดูก่อนยักษ์  เมื่อท่านหวังจะถามปัญหาก็ถามเถิด เราจักตอบ”

 

 

DhammaPP__13.jpg

                        อาฬวกยักษ์เริ่มทูลถามปัญหา ๘ ข้อ ซึ่งหลวงพ่อขอยกตัวอย่างพอเป็นสังเขปเท่านั้น เช่นยักษ์ถามว่า “อะไรหนอ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันประเสริฐของคนในโลก อะไรหนอ ที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ อะไรหนอ เป็นรสอันล้ำเลิศกว่ารสทั้งหลาย นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่อย่างไร ว่าประเสริฐสุด”

 

 

DhammaPP__14.jpg

                        พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลกนี้ ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ ความสัตย์เป็นรสอันล้ำเลิศ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐสุด”

 

 

DhammaPP__15.jpg

                        อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า “คนข้ามโอฆะได้อย่างไร ข้ามอรรณพได้อย่างไร ล่วงทุกข์ได้อย่างไร บริสุทธิ์ได้อย่างไร”

 

 

DhammaPP__16.jpg

                        พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท ล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา”

 

 

DhammaPP__17.jpg

                อาฬวกยักษ์ได้ถามปัญหาที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก  เมื่อได้ฟังคำตอบ ใจยักษ์ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาปสาทะในพระพุทธองค์ หลังจากตั้งใจสดับธรรมะทุกข้อที่พระองค์ทรงตอบ ในที่สุดอาฬวกยักษ์ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นผู้มั่นคงต่อหนทางพระนิพพาน กลายเป็นยักษ์ใจดีที่สำรวมระวังในศีล ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

 

 

DhammaPP__18.jpg

                จะเห็นว่า กว่าพระพุทธเจ้าจะสั่งสอนบุคคลใดให้เกิดความเลื่อมใส และยอมลงมือปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุธรรมนั้น ต้องใช้กุศโลบายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ให้เห็นถึงฤทธานุภาพ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ดักใจผู้ฟัง หรืออนุสาสนีปาฏิหาริย์แสดงธรรมอย่างพอเหมาะพอดีแก่จริตอัธยาศัยของผู้ฟัง ทำให้มีผู้บรรลุธรรมตามพระพุทธองค์มากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งพระพุทธองค์ยังเป็นยอดนักเสียสละ หากรู้ว่าใครมีบุญที่พร้อมจะเข้าถึงธรรม พระพุทธองค์จะรีบเสด็จไปโปรดโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก เพราะฉะนั้น พวกเราพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย สมควรอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ และหมั่นปฏิบัติธรรม จะได้เข้าถึงพุทธภาวะภายในคือพระธรรมกายกันทุกคน

 

พระ ธรรมเทศนา โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

*พุทธประวัติ เล่ม๑ (หลักสูตรนักธรรมตรี)

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล