Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
คำหยาบที่ไม่ผิดศีล
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกายธรรมบทความว่า ผู้ใดพึงกล่าวถ้อยคำอันไม่ระคายหู อันให้รู้กันได้เป็นคำจริง เป็นเหตุไม่ทำใคร ๆ ให้ขัดใจ เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าพราหมณ์หรือผู้ประเสริฐนั้น ต้องมีถ้อยคำที่ประเสริฐเป็นถ้อยคำของชนชั้นสูงคือ พูดจาไพเราะเสนาะโสต ไม่ใช้วาจาเป็นหอกเป็นดาบทิ่มแทงใจคนอื่น ไม่พูดให้คนอื่นขุ่นเคืองใจ จนกลายเป็นความแค้น แต่ก็ต้องเป็นคำจริงด้วยนะจ๊ะ ซึ่งก็รวมไปถึงเป็นถ้อยคำสุภาพ ไม่เป็นคำหยาบคำด่า คำประชดประชัน คำเสียดสี กระทบกระเทียบแดกดัน คำหยาบนั้นฟังก็ระคายหู แค่คิดถึงก็ระคายใจ ที่ผ่านมาเราได้เข้าใจลักษณะของมุสาวาท รวมไปถึงคุณและโทษของการรักษาศีลกันเป็นอย่างดีแล้ว
วันนี้หลวงพ่อมีตัวอย่าง ของคำพูดที่ดูเหมือนเป็นคำหยาบ ใครฟังแล้วก็เคืองใจ แต่พระบรมศาสดากลับตรัสว่าไม่เป็นผรุสวาท ผู้ฟังก็ไม่ควรเก็บเอามาเป็นอารมณ์ เพราะเป็นคำพูดติดปากมาข้ามชาติของบุคคลนั้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามรับฟังกันเลยนะจ๊ะ
ในยุคสมัยของพระปทุมุตร มีกุลบุตคนหนึ่งในกรุงหงษวดี ขณะไปฟังธรรมที่วัดได้เห็นพระบรมศาสดาทรงสถาปณาภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย จึงปรารถนาตำแหน่งนั้นและก็มุ่งมั่นสั่งสมบุญในทุกรูปแบบ แม้จะทำบุญเอาไว้หลายอย่าง แต่ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของท่านไม่เคยเปลี่ยนไป ได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลกเรื่อยมา
พอมาถึงยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านมาบังเกิดในครอบครัวพรามหมณ์ในกรุงสาวัตถี มีนามว่าปิลินทวัจฉะ ต่อมาท่านได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดา จึงเกิดศรัทธาออกบวชเป็นภิกษุตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาอยู่ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตามปกติแล้วเมื่อท่านพูดจากับใคร ไม่ว่าจะเป็นญาติโยมหรือกระทั่งเพื่อนสหะธรรมิกด้วยกัน ท่านมักจะใช้คำร้องเรียกว่าเจ้าถ่อย ภิกษุปุถุชนฟังแล้วก็ไม่ชอบใจ จึงไปกลาบทูลพระพุทธองค์ว่า พระพุทธเจ้าค่ะ ธรรมดาพระอริยะไม่กล่าวคำหยาบ แต่ทำไมท่านปิลินทวัจฉจึงพูดจาหยาบคายพระเจ้าค่ะ พระบรมศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธออย่ากล่าวโทษปิลินทวัจฉะเลย วัจฉะน่ะไม่ได้มีโทสะคิดร้ายต่อพวกเธอ วัจฉะไม่ได้ร้องเรียกพวกเธอว่าคนถ่อย เพียงแต่คำพูดนี้ติดปากมา ๕๐๐ ชาติ เพราะเกิดในตระกูลพราหมณ์ บัดนี้วัจฉะเป็นพระขีณาสพแล้ว ไม่มีจิตคิดร้ายต่อใคร ๆ พวกเธออย่าได้ถือสาในถ้อยคำของวัจฉะเลย จริงอยู่ถ้อยคำของพระอริยะทั้งหลายแม้จะหยาบอยู่บ้าง ก็เชื่อบริสุทธิ์แท้ เพราะเจตนาไม่หยาบ ไม่เป็นบาปแม้แต่น้อย ครั้นภิกษุสงฆ์ได้รับคำชี้แจงจากพระบรมศาสดาแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ใส่ใจในคำพูดของท่านอีกเลย
ท่านปิลินทวัจฉะนี้นะจ๊ะ ท่านมีประวัติการสร้างบารมีที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ก่อนหน้าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราจะอุบัติขึ้น พระเถระได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงให้มหาชนตั้งอยู่ในศีล ๕ ไม่มีการดื่มน้ำเมา ทุกคนมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ พระองค์ทรงแนะนำให้มหาชน ทำกุศลจนตลอดชีวิต ทำให้มนุษย์ในยุคนั้น ไปเกิดในสวรรค์กันมากมาย แม้ตัวท่านเองก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน
ครั้นมาถึงสมัยพุทธกาล ก็มาเเกิดเป็นมนุษย์และสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้แล้ว เหล่าเทวดาที่บังเกิดในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นซึ่งเคยเป็นบริวารของท่าน ตรวจดูสมบัติของตัวเองในเทวโลก ก็ปลื้มใจว่า ทิพยสมบัติที่ได้มาทั้งหมดนี้ เพราะอาศัยพระเจ้าจักรพรรดิ ยิ่งรู้ว่าขณะนี้น่ะ พระเจ้าจักรพรรดิผู้เคยเป็นเหนือหัว บัดนี้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยิ่งปลื้มปิติยินดี และเมื่อลงจากเทวโลกมานมัสการพระเถระทั้งเช้าทั้งเย็นเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด ฉะนั้นต่อมาท่านจะได้รับการยกย่อง จากพระบรมศาสดาว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย
วันหนึ่งพระเถระเข้าไปบิณฑบาตรในเมืองราชพฤกษ์ได้พบกับชายคนหนึ่ง กำลังนำดีปลีเต็มถาดเข้าไปในเมือง จึงถามว่าเจ้าถ่อยในภาชนะของแกน่ะมีอะไร ชายคนนี้คิดว่าสมณะรูปนี้กล่าวคำหยาบกับเราแต่เช้า แล้วก็ควรกล่าวคำที่เหมาะสมแก่สมณะรูปนี้บ้าง จึงตอบว่าในภาชนะของผมก็มีขี้หนูสิท่าน พระเถระก็พูดว่ามันก็ต้องเป็นอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ เมื่อพระเถระเดินคล้อยหลังดีปลีก็กลายเป็นขี้หนูไปหมด ชายคนนั้นตกใจมาก แต่ยังไม่มั่นใจว่าดีปลีเหล่านี้กลายเป็นขี้หนูจริงหรือเปล่า ลองเอามือบี้ดู รู้ว่าเป็นขี้หนูจริง ๆ
จึงตกใจแล้วก็เสียใจมาก และทำให้พลอยคิดถึงดีปลี ที่มีอยู่เต็มเกวียนว่าดีปลีเป็นขี้หนูเฉพาะในถาดนี้หรือว่าในเกวียนก็เป็นขี้หนูด้วย เขารีบวิ่งไปตรวจดู ก็พบว่าดีปลีในเกวียนทั้งหมดก็เป็นอย่างที่คิด จึงคิดทบทวนดูว่านี่คงไม่ใช่การกระทำของใครอื่น ต้องเป็นการกระทำของภิกษุรูปนั้นแน่ ทำให้ดีปลีของเราต้องกลายเป็นขี้หนูทั้งหมด จึงออกตามหาพระเถระตามสถานที่ต่าง ๆ เดินตามหาทั้งวันก็ไม่พบ
กระทั่งมีอุบาสกท่านหนึ่ง เข้าไปถามจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วก็ได้บอกลักษณะหน้าตาและกิริยาท่าทาง รวมไปถึงคำพูดอันเป็นเอกลักษณ์ของพระเถระให้อุบาสกฟัง เมื่ออุบาสกฟังจบก็สรุปได้ทันทีว่า พระเถระที่ชายคนนี้เจอต้องเป็นพระปิลินทวัจฉะเถระอย่างแน่นอน ด้วยความสงสารจึงปลอบใจว่า อย่ากังวลไปเลยพระเถระรูปนี้เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาไม่เคยคิดประทุษร้ายใครหรอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันให้ท่านนำดีปลีที่กลายเป็นขี้หนูทั้งหมดไปยืนข้างหน้าพระเถระ เมื่อพระเถระกล่าวว่านั่นอะไรล่ะ ก็จงบอกว่าดีปลี หากพระเถระกล่าวอย่างไรก็จะเป็นอย่างที่ท่านพูดทุกอย่าง เพราะท่านเป็นผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ชายคนนั้นก็ดีใจมาก ที่ตัวเองพอจะมีความหวังอยู่บ้าง จึงรีบออกตามหา เมื่อพบพระเถระแล้วก็ทำตามที่อุบาสกแนะนำทุกอย่าง จึงได้ดีปลีกลับมาดังเดิม ทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก จึงก้มลงกลาบขอขมาโทษที่ได้กล่าวล่วงเกินเพราะความไม่รู้ จากนั้นก็ขอยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
นี่ก็คือตัวอย่างของคำหยาบ ที่ไม่ควรถือเอาเป็นประมาณ ไม่ควรใส่ใจ เพราะใจของพระอรหันต์นั้นน่ะสะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ มีความผ่องใสเป็นปกติท่านเป็นผู้ละบุญและบาปได้แล้ว สิ่งที่ท่านพูดเป็นเพียงความเคยชินที่ติดมาข้ามชาติ แม้การกระทำและรูปลักษณ์ภายนอกอาจไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ใครเสียหาย นี่ก็เป็นเรื่องของพระอรหันต์ ที่เราควรศึกษาเอาไว้นะจ๊ะ
ทีนี้สำหรับพวกเราผู้กำลังสร้างบารมีกันอยู่นี้ เป้าหมายปลายทางยังยาวไกล ถ้อยคำใดที่สามารถยกใจผู้ฟังให้สูงขึ้นและสามารถโน้มน้าวใจเขา ให้เข้าสู่กระแสธรรม ต้องรู้จักสรรหามาพูด จิตใจที่งดงามอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีปิยะวาจา มีวาจาเป็นสุภาษิต เพื่อพิชิตใจผู้ฟังให้เขาเต็มใจที่จะมาประพฤติปฏิบัติธรรม มาเข้าถึงพระธรรมกาย จะได้ช่วยกันนำพามนุษยชาติให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏไปสู่ที่สุดแห่งธรรมกันทุกคนนะจ๊ะ