ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๔


ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๔

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
 
DhammaPP167_02.jpg
พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๔

              การศึกษาเล่าเรียนใช้เพียงเพื่อแสวงหาทรัพย์ มาหล่อเลี้ยงสังขารร่างกาย ให้มีชีวิตรอดต่อไปได้แม้มีชีวิตรอดแต่ยังไม่ปลอดภัย ส่วนความรู้ทางธรรมเราไม่รู้ไม่ได้ ถ้าไม่รู้ชีวิตก็ไม่ปลอดภัยทั้งภัยอบายและภัยในสังสารวัฏ เหมือนอาหารถ้าเราไม่รับประทานก็ตาย ความรู้ทางธรรมถ้าศึกษาก็ตายเช่นกัน ตาจากกุศลความดีเหินห่างจากหนทางของพระนิพพาน บางทีอาจต้องไปรับทุกข์ทรมารในอยายภูมิสิ้นกาลนาน

 

                  เพราะฉะนั้นการศึกษาทางธรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญและจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ ต้องอาศัยพระธรรมกายภายใน เมื่อเราเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย เราจะรู้เรื่องโลกและชีวิตที่เกี่ยวข้องกับตัวเราสิ่งที่เป็นความลับก็จะถูกเปิดเผยออกมาและไม่มีสิ่งใดที่เป็นความลับสำหรับผู้รู้แจ้งภายใน 

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน กุกกุฏชาดก ความว่า

ผู้ใดรู้ไม่เท่ากัน

เหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน

ผู้นั้นย่อมตกในอำนาจของศัตรู

ก็จะเดือดร้อนในภายหลัง

 

                    ยังมีเรื่องอะไรมากมายในโลกที่เรายังไม่รู้และคาดไม่ถึง เราจึงต้องศึกษาความเป็นจริงของชีวิตแล้วเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ การเป็นผู้เตรียมพร้อมอยู่เสมอนั้นสำคัญมาก เพราะชีวิตของเรานั้นไม่แน่นอน ในวันนี้เรายังมีชีวิตอยู่แต่วันพรุ่งนี้เราเองก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่า จะมีเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โดยเฉพาะการรู้เท่าทันความเป็นจริงของโลกและชีวิต จะทำให้เราสามารถประคับประคองตนให้รอดพ้น จากภัยอันตรายทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้ หากไม่ตั้งสติให้ดีมัวปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามกระแสกิเลสแล้ว ก็จะทำให้ชีวิตผิดพลาดได้ง่าย พอผิดพลาดแล้วก็ยากที่จะรอดพ้นไปจากความทุกข์ทรมาน แต่ถ้ารู้ทันแล้วสร้างบารมีตั้งแต่เกิด ชีวิตของเราก็จะปลอดภัยและมีชัยชนะไปข้ามภพข้ามชาติ เหมือนดังเรื่องของเตมียกุมารที่รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้นน่ะเราจึงควรศึกษากันเอาไว้


 

                    ครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าไว้ว่า เมื่อพระนางจันทราเทวีทรงพระครรภ์ครบถ้วนทศมาส ก็ทรงประสูตรพระราชกุมารผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญญลักษณะ พระเจ้ากาสิกราชเมื่อได้ทรงทราบข่าวจากพระมหากเล็กว่า พระอัครมเหสีทรงประสูตรพระราชโอรสแล้ว ก็ทรงปรีดาปราโมทย์พระทัย พร้อมกับดำริว่า ลูกเราเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด คงไม่เกิดเพียงลำพังผู้เดียวจะต้องมีบริวารติดตามมาด้วย จึงตรัสเรียกเสนาบดีมาเข้าเฝ้า แล้วรับสั่งให้ไปเที่ยวสืบดูว่า มีทารกเกิดพร้อมกับพระโอรสบ้างหรือไม่ เมื่อท่านเสนาบดีไปตรวจดูบ้านของอำมาตย์คนไหน ก็ล้วนมีทารกที่กำเนิดในวันนั้นทั้งสิ้น จึงรีบกลับมารายงานให้ทรงทราบ พระราชาทรงพระกรุณาโปรดเก้าให้จัดทำเครื่องระดับสำหรับกุมารของอำมาตย์ทั้ง ๕๐๐ คน พร้อมกับพระราชทานแม่นม ๕๐๐ นาง ให้เลี้ยงดูกุมารเหล่านั้นด้วย แต่สำหรับพระราชกุมารนั้น พระเจ้ากาสิกราชทรงโปรดให้คัดเลือกแม่นมเป็นพิเศษจำนวน 64 นางพระราชทานแด่พระกุมาร โดยแต่ละนางล้วนถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะที่ดี และจะต้องปราศจากลักษณะอันเป็นโทษ 10 ประการคือ

 

                    ข้อ 1. หญิงนั้นต้องไม่มีผิวขาวจนเกินไป ด้วยเกรงว่าน้ำนมจะมีรสเปรี้ยว

                    ข้อ 2. หญิงนั้นต้องผิวไม่ดำจนเกินไป ด้วยเกรงว่าจะมีน้ำนมที่เย็นจัด

                    ข้อ 3. ไม่ผอมแห้งบอบบาง  เพราะขณะที่พระกุมารนอนบนตัก หรือนอนแนบอกดื่มน้ำนม กระดูกอาจทิ่มตำพระกุมารได้

                    ข้อ 4. ไม่อ้วนจนเกินไป เพราะจะทำให้พระกุมารพลอยอ้วนตามไปด้วย

                    ข้อ 5. ไม่สูงเกินไป เพราะเมื่อนั่งดื่มน้ำนม พระกุมารก็จะต้องยืดจนคอยาว

                    ข้อ 6. ไม่เตี้ยเกินไปนัก เพราะเมื่อนั่งดื่มน้ำนม พระกุมารจะต้องหดคอ พลอยต่ำเตี้ยไปด้วย

                    ข้อ 7. น้ำนมต้องรสไม่จืด เค็มหรือเปรี้ยวเกินไป ให้คัดสรรเฉพาะนางที่มีน้ำนมรสหวานกลมกล่อมเท่านั้น

                    ข้อ 8. ต้องมีถันไม่หย่อนยาน ให้คัดสรรเฉพาะแม่นมที่มีเต้านมเปล่งปลั่งเพื่อจะได้มีน้ำนมที่ดี

                    ข้อ 9.หญิงนั้นต้องไม่เป็นโรคหืดหอบ อันจะส่งผลให้น้ำนมไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร และ

                    ข้อ 10. หญิงนั้นต้องไม่เป็นโรคไอเรื้อรัง เพราะรสของน้ำนมจะเผ็ดเกินไป จะพลอยให้พระกุมารจะพลอยขี้โรคไปด้วย

 

                    เมื่อพระราชกุมารมีพระชนมายุได้  ๑ เดือน เหล่าพี่เลี้ยงนางนมก็ช่วยกันตกแต่งพระกายของพระราชกุมาร แล้วอัญเชิญขึ้นเฝ้าพระราชบิดา ซึ่งกำลังเสด็จออกว่าราชการอยู่ภายในท้องพระโรงเวลานั้น ท้องพระโรงแน่นไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารนับพัน พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นราชาธิราช ทรงประทับอยู่เหนือพระบัลลังก์ทอง เพื่อทรงวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆ ทรงแวดล้อมด้วยพราหมณ์ปุโรหิตและเหล่าอำมาตย์เป็นทิวแถวอยู่เบื้องหลังพระบัลลังก์ทอง ไล่เรียงไปตามด้วยเหล่าแม่ทัพนายกอง และราชบุรุษองครักษ์รักษาพระองค์

 

                    ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราช เพียงได้ทอดพระเนตรเห็นพระราชกุมารผู้เป็นที่รักยิ่ง ก็ทรงดีพระหฤทัย รีบตรงเข้าไปรับเอาพระกุมารมาจากมือของพี่เลี้ยงนางนม แล้วทรงอุ้มพระกุมารให้ประทับนั่งบนตัก พระองค์ทรงรื่นรมย์อยู่กับพระกุมารครู่หนึ่ง จากนั้นจึงทรงโปรดให้มหาอำมาตย์เบิกคดีสำคัญต่อไป

 

 

                    ขณะนั้น มหาโจร ๔ คนถูกราชบุรุษจับมัดไขว้หลัง คล้องโซ่ตรวนอย่างแน่นหนา นำตัวมายังหน้าพระบัลลังก์ทองเพื่อรับพระราชอาญา โจรทั้ง ๔ ครั้นถูกคุมตัวเข้าสู่หน้าบัลลังก์ที่วินิจฉัย เห็นสายตานับพันคู่ต่างจับจ้องมายังตน ก็ยิ่งสะทกสะท้าน สะดุ้งกลัวต่อความตายที่ใกล้จะมาถึง นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป เมื่อยังไม่ได้ทำบุญกุศล ครั้นมรณะภัยมาเยือน มองไม่เห็นสิ่งใดจะเป็นที่พึ่งได้ก็ย่อมจะหวาดกลัวเป็นธรรมดา ยิ่งรู้ว่าต้องถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต ความสะดุ้งกลัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทับทวี เหงื่อไหลท่วมกาย มือไม้อ่อนไปหมด 

 

                    พระเจ้ากาสิกราชทรงชำเรืองดูมหาโจรย์ทั้ง ๔ ซึ่งถูกราชบุรุษสั่งให้คุกเข่าลง ณ เบื้องพระพักตร์ เมื่อทรงสดับคำกราบทูลถึงความผิดของมหาโจรเหล่านั้นจากมหาอำมาตย์แล้ว จึงตรัสสั่งให้ลงพระอาญาแก่มหาโจรทั้ง ๔ นั้นให้สาสมแก่ความผิด 

 

                       โดยให้โบยโจรคนหนึ่งด้วยหวายหนามแช่น้ำเกลือ ๑,๐๐๐ ครั้ง เพียงโบยไม่ถึง ๑๐๐ ครั้ง เขาก็สิ้นชีวิตอยู่ตรงนั้น

                        โจรอีกคนหนึ่งให้ราชบุรุษจองจำไว้กับขื่อคาโซ่ตรวน แล้วส่งเข้าเรือนจำ ให้ตายอยู่ในเรือนจำ

                         โจรอีกคนหนึ่งก็ให้นำไปประหาร โดยให้แทงด้วยคมหอก

                    ส่วนโจรคนสุดท้ายนั้น กระทำทารุณกรรมไว้มาก จึงทรงลงโทษอย่างอุกฤษฏ์ โดยให้เสียบด้วยหลาวทั้งเป็นแล้วนำไปเสียบประจานไว้หน้าประตูเมือง

 

                     ในการวินิจฉัยคดีนั้นแม้พระราชาจะทรงตัดสินคดีความโดยชอบธรรม คือไม่ได้พิพากษาด้วยความผลุนผลันทั้งไม่ได้ลำเอียงด้วยอำนาจแห่งอคติใดๆ คือไม่ได้ลำเอียงเพราะรักใครกัน เพราะไม่ชอบหน้ากัน เพราะความเขลา หรือรู้เท่าไม่ถึงการ และไม่ได้ลำเอียงเพราะการกลัวอำนาจ อิทธิพลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้ปราสจากความลำเอียงดังกล่าวแล้วก็ยังไม่ได้ชื่อว่าจะรอดพ้นจากบาปกรรมไปได้ เพราะการประหารผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิตก็ดี การทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้ทุกข์ทรมารก็ดี ล้วนมีวิบากกรรมทั้งสิ้น ในไม่ช้าทุกข์นั้น ก็จะต้องกลับคืนสนองตามกฎแห่งกรรมอย่างแน่นอน

 

                      ในระหว่างที่พระราชาทรงวินิจฉัยคดีสั่งลงโทษมหาโจรย์อยู่นั้น เหตุการณ์ทั้งหมด ล้านอยู่ในสายตาของพระราชกุมารซึ่งพระทับนั่งอยู่บนพระเพลาของพระองค์ เมื่อพระกุมารได้สดับคำตัดสินลงทัณฑ์ของพระราชบิดา ก็ทรงหวาดสะดุ้งในพระสุรเสียงอันกึกก้อง บังเกิดความสลดหดหู่พระหฤทัยยิ่งนัก จึงทรงดำริขึ้นว่า  โอหนอ พระราชบิดาของเรา ทำบาปกรรมใหญ่หลวงนัก คงไม่พ้นจากการเสวยทุกข์ใหญ่ในมหานรก เพราะเหตุแห่งราชสมบัตินี้เป็นแน่ 

 

                    พระเตมิยกุมารผู้มีสติปัญญา ได้ทรงเห็นเหตุเพียงเท่านี้ ก็มองเห็นผลที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า เพราะทรงสั่งสมปัญญาบารมีมามาก จึงดำริว่า หากปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ ต่อไปในภายหน้า เมื่อเราได้ครองราชสมบัติ ก็จะต้องตัดสินคดีความดุจพระราชบิดา และต้องไปสเวยทุกข์ทรมารในมหานรกอีก นี่คือดำริของทารกผู้มีอายุเพียง ๑ เดือนเท่านั้นนะจ๊ะ อายุ ๑ เดือนสอนตนเองได้อย่างนี้ รู้ว่าถ้าประกอบเหตุอย่างนี้จะมีปลเป็นอย่างไรนับว่าเป็นเรื่องที่หน้าอัศจรรย์มากทีเดียว 

 

                     ส่วนว่าพระองค์จะคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องมาครอบครองราชบัลลังก์ ดังที่พระบิดาทรงมั่นหมายเอาไว้อย่างไรนั้นก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ


พระธรรมเทศนา โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล