Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
ตอน โปริสาท ตอนที่ 02
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในวาเสฏฐสูตร ความว่า
กมฺมุนา วตฺตติ โลโก
กมฺมุนา วตฺตติ ปชา
กมฺมนิ พนฺธนา สตฺตา
รถสฺสาณีว ยายโต.
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม
สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรม
เหมือนลิ่มสลักของรถที่กำลังแล่นไป.
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอันยาวไกลนี้ มีความไม่แน่นอน มีความเปลี่ยนแปลงระหว่างการเกิดการตายกลับไปกลับมา บ้างก็เปลี่ยนจากคนยากจนอนาถากลายเป็นมหาเศรษฐี เป็นพระราชามหากษัตริย์
เป็นมหาโจรผู้เหี้ยมโหด หรือพลัดตกไปเกิดในอบายภูมิ ความผันผวนของชีวิตเหล่านี้เกิดจากกรรมที่ได้กระทำเอาไว้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอย่างอื่น กรรมที่ตัวเองทำไว้ทั้งทางกาย วาจา และใจของแต่ละบุคคล มีความละเอียดอ่อนสลับซับซ้อนมาก
สิ่งที่ได้ทำไว้ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล แม้กระทั่งตนเองก็ยังจดจำการกระทำของตนเองไม่ได้ เพราะมันมากเหลือเกิน แต่สิ่งเหล่านี้จะถูกบันทึกเอาไว้ในใจหมด และกำลังรอคอยโอกาสให้ผลทั้งสิ้น ต่างกันว่าช้าหรือเร็ว ในขณะเดียวกันเมื่อกรรมส่งผลแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราประสบทั้งที่นำความสุขและความทุกข์มาให้นั้น เกิดขึ้นเพราะไปทำบุญหรือบาปอะไรเอาไว้
เนื่องจากภพชาติที่มาขวางกั้นทำให้เราลืมอดีต มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือผู้รู้ผู้มีญาณเท่านั้นที่ท่านมีญาณระลึกชาติหนหลังได้ จึงรู้ต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นและสามารถพยากรณ์ให้แก่เราได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งใดที่เราเคยทำไว้ในอดีต จะดีหรือชั่ว แม้เรายังไม่อาจทราบได้ แต่ปัจจุบันเราก็ควรเลือกทำแต่สิ่งที่ดีเอาไว้ ถ้าหากกรรมชั่วในอดีตตามมาทันจากหนักจะได้กลายเป็นเบา เบาก็จะหาย หรือหากทำกรรมดีในอดีตเอาไว้ดี บุญเก่ามาสนับสนุน บุญใหม่ที่กำลังทำอยู่ก็ยิ่งจะทำให้ชีวิตของเราประสบความสุขและความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ต่อจากตอนที่แล้วสุตโสมราชกุมารเรียนสำเร็จก่อนจึงช่วยพรหมทัตราชกุมารผู้เป็นสหายทำให้พรหมทัตกุมารเรียนสำเร็จได้อย่างรวดเร็วตามไปด้วย ท่านอาจารย์ทิศาปาโมกข์เห็นว่าสุตโสมกุมารมีปัญญาของความเป็นครู
จึงบอกให้ช่วยเป็นอาจารย์สอนคนอื่นๆทำให้พระกุมารทั่วทั้งชมพูทวีปสามารถสำเร็จการศึกษาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงอำลาท่านอาจารย์เดินทางกลับพระนครเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป เมื่อพระราชกุมารทั้ง ๑๐๑ พระองค์เดินทางจนมาถึงทางแยก สุตโสมกุมารผู้ดำรงอยู่ในฐานะของอาจารย์ก็ได้กล่าวสอนราชกุมารทั้งหมดว่า
เมื่อพวกท่านครองราชย์ต่อจากพระราชบิดาแล้วก็อย่าได้ประมาท ให้พร้อมใจกันรักษาอุโบสถทุกวันพระ อย่าได้ทำการเบียดเบียนรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน ให้สมัครสมานสามัคคีปรองดองกันไว้ เพราะความสามัคคีของผู้นำประเทศจะนำความสงบร่มเย็นมาสู่อาณาประชาราช
ราชบุรุษทุกคนต่างรับคำเป็นมั่นเหมาะ ในบรรดาราชกุมารเหล่านั้นพระโพธิสัตว์ทรงทราบล่วงหน้าว่ามหาภัยจักเกิดขึ้นในพระนครพาราณสีและรุกรามไปทั่วชมพูทวีป เพราะพรหมทัตกุมารผู้เป็นสหายรัก การที่สุตโสมกุมารทราบล่วงหน้าเพราะใช้ศาสตร์ที่เรียนมาคำนวณวันที่สหายประสูติ ทรงมั่นพระทัยว่ามหันตภัยจากพระสหายจะต้องแผ่ขยายไปทั่วชมพูทวีป แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าให้ใครฟัง ได้แต่กำชัดพรหมทัตให้ยึดมั่นในทศพิธราชธรรมเท่านั้น
เหมือนหมอผู้ฉลาดในการวินิจฉัยโรค ที่รู้ว่าต่อไปในอนาคตคนไข้จะต้องเป็นโรคฝี แต่ว่าโรคฝียังไม่เกิดจึงยังไม่ถึงเวลาผ่าตัด ได้แต่กำชับคนไข้ให้รู้จักรักษาสุขภาพ แนะนำให้รับประทานอาหารและยาที่จะไม่ให้เกิดฝี ส่วนคนไข้จะเอาใจใส่สุขภาพตัวเองหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อราชบุตรทุกคนกลับถึงพระนครของตนแล้วก็แสดงศิลปะแก่พระราชมารดาบิดา จนได้รับการยอมรับให้สืบทอดราชสมบัติต่อไป เมื่อได้ครองราชย์แล้ว ด้วยความกตัญญูจึงได้ส่งราชสาส์นพร้อมด้วยเครื่องบรรณาการไปมอบแต่พระเจ้าสุตโสม ด้วยความสามัคคีของพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีปทำให้บ้านเมืองในสมัยนั้นเกิดความร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมา ในบรรดาพระราชาทั้ง ๑๐๑ นั้น พระเจ้าพรหมทัตผู้ครองเมืองพาราณสีทรงนิยมการเสวยเนื้อทุกชนิด
เนื่องจากเคยเกิดเป็นยักษ์มาหลายชาติ จึงมีอุปนิสัยนี้ติดตัวมาข้ามชาติ ถ้าวันไหนในสำรับไม่มีเนื้อ พระองค์จะทรงกริ้วและไม่ยอมเสวยอาหารมื้อนั้น แม้ในวันอุโบสถซึ่งปกติจะไม่มีการฆ่าสัตว์เป็นอาหารพ่อครัวก็ยังต้องเก็บเนื้อไว้ถวายให้ได้เสวยทุกครั้ง อยู่มาวันหนึ่ง เนื้อที่เก็บไว้ในตู้ถูกพวกสุนัขที่อยู่ในราชวังแอบเข้ามากินจนหมดเพราะความเลินเล่อของพ่อครัว เมื่อไม่เห็นเนื้อที่เก็บไว้จึงออกเที่ยวหาซื้อตามท้องตลาด แต่หาซื้อไม่ได้เลย
ด้วยความเกรงกลัวอาญาจึงคิดว่าถ้าหากไม่มีเนื้อในเครื่องเสวยหัวต้องหลุดจากบ่าแน่ๆ จะทำอย่างไรดี แล้วก็นึกอุบายขึ้นได้ ตกเย็นจึงเดินเข้าไปในป่าช้าตามลำพัง ตัดเอาเนื้อตรงต้นขาของคนที่เพิ่งจะตายใหม่ๆมา
ทำเป็นอาหารและจัดแจงตั้งเครื่องเสวย ทันทีที่พระราชาวางชิ้นเนื้อมนุษย์นั้นลงบนปลายพระชิวหา รสเนื้อมนุษย์นั้น ก็แผ่ไปสู่เส้นประสาทที่รับรส
ทำให้เกิดความซาบซ่านไปทั่วพระสรีระ ทรงรู้สึกว่านี่แหละคืออาหารที่อร่อยที่สุดในโลก อร่อยถึงขนาดปิติซาบซ่าน อร่อยจนหยุดไม่ได้ พระราชาต้องการรู้ว่าเป็นเนื้ออะไร
จึงแสร้งทำเป็นถ่มทิ้งและรับสั่งให้คนทำต้นเครื่องมาเข้าเฝ้า ตรัสถามว่านี่เป็นเนื้ออะไร ทำไมมีรสชาติแปลกกว่าเนื้อชนิดอื่นที่เคยบริโภค เมื่อคนทำต้นเครื่องก้มหน้านิ่งเพราะกลัวราชอาชญา เนื่องจากตนเองแอบเอาเนื้อมนุษย์ไปทำอาหาร พระราชาจึงข่มขู่ต้นเครื่องให้บอกมาตามความจริง ถ้าไม่บอกจะไม่มีชีวิตรอด
คนทำเครื่องต้นตกใจมาก เกรงว่าจะถูกประหารชีวิตจึงทูลขอพระราชทานอภัยและกราบทูลตามความเป็นจริง พระราชาทรงปลอบใจว่าอย่าเอ็ดไป ทำได้ดีมาก เราชอบกินเนื้อมนุษย์มากที่สุด ตั้งแต่นี่ไปเจ้าจงไปหาเนื้อมนุษย์มาให้เราเสวยทุกวัน เหตุการณ์เป็นจุดพลิกผันของพระเจ้าพรหมทัตที่นำไปสู่ความปั่นป่วนของชาวเมืองและชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น การหาเนื้อมนุษย์และนำมาปรุงเป็นอาหารทุกวันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงคนทั่วไปจะต้องถูกตำหนิและมีปัญหาตามขึ้นมาอีกมากมาย