Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
มนุสสภูมิที่สร้างบารมี
ในชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำอาสวกิเลสให้หลุดล่อนออกจากใจได้หมดสิ้น ตราบนั้นก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันรํ่าไป การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ จำเป็นจะต้องมีเสบียงคือบุญคอยสนับสนุน จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เสบียงคือบุญนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมวลมนุษย์ เพราะวันคืนผ่านไป ได้นำพาสังขารร่างกายไปสู่ความเสื่อมสลาย ร่างกายที่เคยแข็งแรง สดชื่นแจ่มใสก็อ่อนแรงไปตามกาลเวลา บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายจึงดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท และตระหนักว่าคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตคือการสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าบุญบารมีจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ กระทั่งสามารถทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป เพื่อมุ่งสู่อายตนนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
"กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก"
ผู้ที่ตายไปแล้ว จะกลับได้อัตภาพของความเป็นมนุษย์อีกครั้ง ที่ท่านเรียกว่า ปฏิลาโภ คือได้เป็นมนุษย์อีก เป็นสิ่งที่ยากมาก เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติจากโลกมนุษย์ไปแล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นมีประมาณน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้วนั้น พากันไปเกิดในนรก ในเปตวิสัย ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน มีประมาณมากกว่า หรือแม้จุติจากมนุษย์ไปแล้ว จะได้ไปเกิดเป็นเทวดาก็มีประมาณน้อยเหลือเกิน โดยที่แท้จะไปเกิดในนรก ในเปตวิสัย ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานมากกว่า”
* ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่า ในบรรดาหมู่สัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ทั้ง ๓๑ ภูมินี้ ภพภูมิของมนุษย์เป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการสร้างบารมีมากที่สุด จะทำทานก็ทำได้ง่ายที่สุด จะรักษาศีล หรือนั่งสมาธิเจริญภาวนา ก็เหมาะสมกว่ากายของหมู่สัตว์ที่อยู่ในภพภูมิอื่น ภพภูมิอื่นๆ อีก ๓๐ ภูมินั้น เป็นสถานที่สำหรับเสวยผลของบุญและบาป
หลวงพ่อจะพูดถึงภพภูมิที่ใกล้ตัวเราที่สุด คือมนุสสภูมิ ซึ่งก็คือพูดเรื่องตัวของเราเองและมวลมนุษยชาติทั้งหลาย แต่หลวงพ่อไม่ได้พูดในเชิงสำรวจประชากรโลก หรือพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ จะกล่าวในเชิงพุทธศาสตร์ ชี้ให้พวกเราเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมองมนุษย์ และแบ่งแยกประเภทของมนุษย์เอาไว้อย่างไรบ้าง
คำว่า มนุษย์ มาจากคำว่า มนะ + อุษยะ มนะ แปลว่า ใจ อุษยะ แปลว่า สูง คนที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีใจสูง ผู้ที่จะมีใจสูงได้ต้องมีมนุษยธรรมประจำใจ ได้แก่ มีศีล ๕ เป็นปกติ เหมือนเทวธรรมคือหิริโอตตัปปะ ก็เป็นธรรมะประจำใจชาวสวรรค์ หรือหากปรารถนาจะไปเป็นสหายแห่งเทพ ก็ต้องมีศีล ๕ และมีหิริโอตตัปปะเป็นอย่างน้อย หากปรารถนาอยากไปเกิดเป็นพรหม ก็ต้องมีพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์จำเป็นต้องมีเบญจศีลเบญจธรรม ๕ ประการ
พระพุทธองค์ทรงจำแนกมนุษย์เอาไว้เป็น ๔ ประเภท
ประเภทที่ ๑ ได้แก่ บุคคลผู้มืดมามืดไป คือภพชาติอดีตได้ทำบาปอกุศลเอาไว้มาก จึงเกิดมาเป็นคนยากจนเข็ญใจ เป็นคนพิกลพิการ ขาดโอกาสในด้านต่างๆ แล้วยังประพฤติผิดศีลผิดธรรม ทำบาปอกุศลทางกาย วาจา ใจ เมื่อละโลกไปแล้ว ก็ต้องไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ชีวิตตกตํ่าลงไปอีก โดยไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไรจะได้มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ประเภทที่ ๒ คือ มืดมาแต่สว่างไป พวกนี้เป็นประเภท คิดได้ คิดเป็น และสอนตัวเองได้ แม้ไม่มีโอกาสดีๆ เหมือนที่คนทั่วไปเขาได้ แต่ก็ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา อาศัยกัลยาณมิตรคอยชี้เส้นทางสวรรค์นิพพานให้ และตั้งใจประพฤติธรรมรักษาศีลไม่ให้ด่างพร้อย เป็นคนบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ครั้นละโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้ไปเสวยสุขเป็นชาวสวรรค์
ประเภทที่ ๓ คือ สว่างมาแต่มืดไป หมายถึงเกิดมาในตระกูลสูง มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องลำบากในการทำมาหากิน มีโอกาสที่จะทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้เต็มที่ แต่ประมาทในชีวิต เอาโอกาสดีที่ตัวเองมีไปใช้ในการแสวงหาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไปประพฤติผิดศีลผิดธรรม เมื่อชีวิตดับไป บาปนั้นก็ชักจูงให้ต้องตกไปในอบายภูมิ ไปสู่ดินแดนแห่งความมืดมนของชีวิตที่ทุกข์ทรมาน
ประเภทที่ ๔ คือ บุคคลผู้สว่างมาแล้วสว่างไป เป็นประเภทที่เกิดมาในตระกูลสูง ไม่ต้องลำบากในการทำมาหากิน มีโอกาสที่จะทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้เต็มที่ แล้วก็เอาโอกาสทองของชีวิตตรงนี้แหละ ทุ่มเทสั่งสมบุญอย่างเต็มที่ วันเวลาที่ผ่านไปก็เป็นไปเพื่อบุญกุศลล้วนๆ ทำให้ได้ไปเสวยสุขในสุคติโลกสวรรค์ต่อไป คือสุขทั้งภพนี้ และในภพหน้า แล้วบุญที่ทำเอาไว้นี้ยังจะส่งผลต่อให้มีความสุขไปทุกภพทุกชาติอีกด้วย
อายุในมนุสสภูมินี้ไม่แน่นอน บางยุคมีอายุมาก บางยุคมีอายุน้อย ขึ้นอยู่กับในอดีตใครไปทำกรรมอะไรเอาไว้ หรือยุคนั้นกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเจริญรุ่งเรือง หรืออกุศลกรรมบถมีมากกว่า ถ้ายุคไหนมนุษย์ประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อายุขัยของมนุษย์ก็ยาวนานถึงอสงไขยปี บางช่วงอกุศลธรรมรุ่งเรืองก็ลดลงเหลือเพียง ๑๐ ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ได้อัตภาพของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ต้องถือว่าเป็นผู้โชคดีแล้ว
การที่บุคคลแตกต่างกัน บางคนสุข บางคนทุกข์ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการประกอบเหตุในปัจจุบัน และบุพกรรมที่ได้ทำเอาไว้แต่ปางก่อน หากไม่เคยทำบุญกุศลไว้ เกิดมาก็ลำบากเป็นคนชั้นล่าง แต่ทันทีที่ได้อัตภาพของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ต้องถือว่าได้มนุษย์สมบัติแล้ว ล้วนแต่มีบุญกุศลติดตัวมาบ้างแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พวกเราต้องพยายามทำตนให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง ด้วยการประพฤติธรรม
พระพุทธองค์ทรงเปรียบโลกมนุษย์นี้ว่า เหมือนกับต้นไม้ซึ่งเกิดในพื้นที่ที่ราบเรียบ มีใบอ่อนและใบแก่แน่นหนา มีร่มเงาน่ารื่นรมย์ หากผู้ใดเป็นผู้มีศีลธรรมประจำใจ ประกอบด้วยมนุษยธรรมในขณะมีชีวิตอยู่ ผู้นั้นย่อมชื่อว่านำตนไปสู่ต้นไม้อันร่มรื่นมีใบดกครึ้ม คือมนุสสภูมินี้อย่างแน่นอน
ย้อนกลับมากล่าวถึงตัวเราเองบ้าง พวกเราทุกคนในขณะนี้ เปรียบเสมือนกำลังอยู่ภายใต้ร่มไม้ใบหนาคือมนุสสภูมินี้แล้ว และยังอยู่ในร่มเงาบวรพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าจะมีทุกข์บ้าง สุขบ้าง สลับกันไปตามประสาโลกธรรม ก็ยังนับว่าประเสริฐกว่าสัตว์ในอบายภูมิมากมายหลายเท่านัก เพราะไม่ต้องถูกไฟเผาไหม้ให้ได้รับทุกข์ทรมานเหมือนอย่างสัตว์นรก หรือไม่ต้องทนหิวกระหายเหมือนเปรตอสุรกายทั้งหลาย
อนึ่งเวลาที่เราจะพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้อันร่มรื่นนี้ เหลืออยู่อีกไม่มาก ไม่ช้าก็ต้องจากต้นไม้ใหญ่คือมนุสสภูมินี้ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องเตรียมตัวเดินทางไกลต่อไป พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ถ้าอยากเป็นมนุษย์อีก ก็ต้องดำรงอยู่ในมนุษยธรรม แลหากอยากไปเป็นสหายแห่งทวยเทพ ก็ต้องมีเทวธรรม พร้อมกับทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาอย่างต่อเนื่องตลอดอายุขัย
ชีวิตย่อมขึ้นอยู่กับเรา ว่าจะไปทางไหน โบราณกล่าวไว้ว่า ทางเตียนเวียนลงนรก ทางรกวกขึ้นสวรรค์ การจะทำความดีแต่ละอย่านั้น บางครั้งอาจจะฝืนใจบ้าง แต่หลวงพ่อเชื่อว่าไม่เหลือวิสัยที่พวกเราจะทำได้ เราอดทนทำความดีเพียงไม่กี่ปีก็ต้องตายจากโลกนี้ไปแล้ว ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูงแล้ว ต้องฝึกตนให้อยู่ในระดับที่ใจสูงใจประเสริฐ ต้องยกใจให้สูงเหนือโลกพ้นโลกให้ได้ ให้ใจมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องหมั่นทำใจหยุดนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ เราก็จะเป็นมนุษย์ประเภทที่สว่างมาสว่างไป และจากโลกนี้ไปด้วยความสวัสดีมีชัยกันทุกคน
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* ภูมิวิลาสินี (พระพรหมโมลี)