ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : สาตาคิรยักษ์ ตอน ๒


ธรรมะเพื่อประชาชน : สาตาคิรยักษ์ ตอน ๒

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP221_01.jpg

สาตาคิรยักษ์ ตอน ๒ 



                การที่สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในทะเลทุกคือวัฏสงสารนับภพนับชาติไม่ถ้วนนี้ เพราะว่ายังมีกิเลสอยู่เมื่อยังไม่หมดสิ้นอาสวะกิเลสก็ยังต้องทำกรรมและมีวิบากเป็นผลรองรับ มีน้อยคนนักที่จะรู้แจ้งเรื่องกิเลสกรรมวิบาก และมุ่งแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เพื่อแหวกกรงล้อมแห่งวัฏทุกข์ ออกไปสู่เอกันตบรมสุขซึ่งวิธีการที่จะทำให้เข้าถึงบรมสุขแท้จริงคือต้องเจริญสมาธิภาวนา ทำใจหยุดใจนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หากใครประพฤติปฏิบัติได้เช่นนี้ แม้สังสารวัฏจะหาเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลายไม่ได้ แต่เราก็จะพบทางรอดปลอดภัยจากสังสารวัฏ หนทางแห่งพระนิพพานก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ เพราะว่าเราได้น้อมนำใจมาตั้งไว้ตรงจุดแห่งความสำเร็จสมปรารถนา คื่อไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นประจำทุกๆ วัน

 


                    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหาสาโรปมสูตรว่า
                ดูก่อนพิสูจน์ทั้งหลาย กุลบุตรบางคนในโลกนี้ มีศรัทธาออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยคิดว่า เราเป็นผู้ถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาสท่วมทับแล้ว ถูกความทุกข์ท่วงทับแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ไฉนหนอการกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จะพึงปรากฏ เขาบวชอย่างนั้นแล้ว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญให้บังเกิดขึ้น เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมด้วยลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เราเป็นผู้มีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่มี มีศักดิ์น้อย เขาย่อมหลงมัวเมาถึงความประมาท เพราะลาภสักการะ และความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์ 

 


                เป้าหมายของการบวชไม่ใช่อยู่ที่การได้ลาภสักการะ แต่อยู่ที่การเอาชนะกิเลสในตัวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลาภสักการะเป็นสิ่งที่เกิดจากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ที่มีจิตเลื่อมใสในพระผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ สาธุชนอยากทำบุญกับเนื้อนาบุญ มีอะไรดีๆ ก็อยากนำมาถวาย เพราะรู้ว่าพระสงฆ์เป็นประมุขของทายกผู้หวังบุญ ส่วนการรู้ประมาณในการรับและการบริโภค ก็เป็นเรื่องของพระที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติให้เหมาะสม จะได้ไม่หลงติดในลาภสักการะเหล่านั้น  แล้วมุ่งไปสู่แก่นแท้ของการประพฤติพรหมจรรย์ คือการทำพระนิพพานให้แจ้งต่อไป วันนี้หลวงพ่อจะนำเรื่องภิกษุสองสหายมาเล่าให้ฟังกันต่อนะจ๊ะ

 


                ความเดิมจากครั้งที่แล้ว หลวงพ่อได้เล่าถึงการสร้างสุวรรณเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพุทธศาสนิกชนในยุคนั้นได้แสดงพลังศรัทธาต่อพระรัตนตรัยกันอย่างไรบ้าง เมื่อพุทธปรินิพพานผ่านไปไม่นานมีสหายสองคนชักชวนกันออกบวช ท่านทั้งสองก็ได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉาน ทำให้มีลาภสักการะและบริวารเกิดขึ้นมากมาย ภายหลังก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระวินัยธรทั้งสองรูป คอยตัดสินวินัยให้กับภิกษุสงฆ์ในสังฆมณฑล

 


                สมัยนั้นที่วัดใกล้เคียงกัน มีภิกษุว่ายากอยู่รูปหนึ่ง มีนิสัยก้าวร้าว ชอบตำหนิและจับผิดภิกษุรูปอื่นเป็นประจำ เมื่อถูกพระธรรมวาทีตักเตือนว่า ท่านบวชเป็นพระแล้วควรจะสำรวมกาย วาจา ใจและปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติเอาไว้ ภิกษุผู้ว่ายากมีทิฎฐิมานะนี้ก็ไม่เชื่อฟัง ได้แต่ดื้อแพ่งว่าตัวเองปฏิบัติตามธรรมะวินัยดีอยู่แล้ว เมื่อห้ามไม่ฟังพระธรรมวาทีจึงพูดขึ้นว่า ถ้าหากไม่เชื่อฟังจะพาไปหาพระวินัยธร ให้พระวินัยธรช่วยตัดสินการกระทำของท่าน ว่าถูกหรือผิดเหมาะแก่สมณะสารูปหรือไม่ เนื่องจากภิกษุผู้ว่ายากรูปนี้ รู้ว่าตัวเองมีความผิดหลายอย่าง จึงคิดว่าถ้าหากเราถูกพระวินัยธรตัดสินอธิกร เพราะการที่เราไปเที่ยวด่าว่าภิกษุผู้มีศีล เราอาจจะได้รับโทษถึงขั้นให้ลาสิกขาก็เป็นได้ 

 


                ด้วยความกลัวจะถูกตัดสินให้ลาสิกขา จึงแอบไปหาพระวินัยธรทั้งสองรูป พร้อมกับนำไทยธรรมและสักการะต่างๆ ติดไม้ติดมือไปถวายด้วยแล้วพูดจาด้วยความเคารพนอบน้อม เมื่อไปหาบ่อยๆ ก็เกิดความคุ้นเคยสนิทสนมกัน จากนั้นก็แสร้งพูดจาน่าสงสารว่า กระผมได้ทะเลาะกับพระธรรมวาที เพราะความไม่เข้าใจกันบางอย่าง หากพระธรรมวาทีมาขอให้ช่วยตัดสินความผิดของข้าพเจ้า ก็โปรดเมตตาสงสารข้าพเจ้าด้วยเถิด ถ้าไม่ได้สั่งทั้งสองรูปแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป จากนั้นก็กราบลากลับวัดของตนเองตามเดิม

 


                เมื่อกลับไปถึงวัดแทนที่จะปรับปรุงตัว กลับพูดค่อนขอดและท้าทายพระธรรมวาทีว่า ถ้าคิดว่าข้าพเจ้าทำผิดพระวินัยก็ให้ไปถามพระวินัยธรได้เลย พระธรรมวาทีจึงเดินทางไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้พระวินัยธรฟัง พระวินัยธรฟัแล้วก็ไม่ยอมตัดสินคดีได้แต่บอกใครไปปรับความเข้าใจกันเอาเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าภิกษุผู้ว่ายากรูปนั้นทำผิด 

 


                เมื่อพระธรรมวาทีเข้าไปหาลูกศิษย์ของพระวินัยธร พวกลูกศิษย์ก็พูดเฉไฉไปว่า ก็เมื่อพระอาจารย์ผู้ทรงวินัยตัดสินอย่างไร พวกเราก็คงต้องว่าตามนั้นแหละ ครั้นไม่ได้รับการตัดสินคดีความก็กลับวัด เมื่อไปถึงก็ถูกภิกษุผู้ว่ายากพูดจาลบหลู่ดูหมิ่นหนักขึ้นไปอีก ถึงขนาดขับไล่ท่านออกจากวัด พระธรรมวาทีเห็นว่าตัวเองไม่มีที่พึ่งจึงชักชวนบริวารจำนวนมาก เดินทางไปหาพระวินัยธรทั้ง 2 รูปอีกครั้งหนึ่ง ได้พูดตำหนิว่าพวกท่านเป็นผู้เห็นแก่ลาภสักการะ เห็นแก่บุคคล แต่ไม่เห็นแก่พระศาสนาเอาซะเลย ท่านทั้งสองไม่ควรเป็นผู้วินิจฉัยพระวินัย เพราะเป็นผู้เห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อตำหนิพระวินัยธรทั้งสองแล้ว ท่านเกิดความสลดสังเวชใจมาก ที่สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทำให้พระศาสนาเสื่อมลง 

 


                จากนั้นพระธรรมวาทีก็พาลูกศิษย์เดินทางเข้าป่าไป เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมจนตลอดชีวิต ทีนี้พระวินัยธรทั้ง 2 รูปเมื่อถูกพระธรรมวาทีประนามท่ามกลางสงฆ์เช่นนั้น ก็เกิดความสลดสังเวชใจ นึกรังเกียจตัวเองว่า พวกเรารักษาบุคคลโดยไม่เห็นแก่พระศาสนา ตามที่พระธรรมวาทีกล่าวจริงๆ เพราะลาภสักการะแท้ๆ เลยทำให้เราลำเอียง ไม่นึกเลยว่าเหตุการณ์จะบานปลายลุกลามใหญ่โตมาอย่างนี้ ชื่อเสียงที่เคยมีมาก็กลายเป็นชื่อเสียไปเสียแล้ว ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของภิกษุสงฆ์ทั่วสังฆมลฑลอีกต่อไป เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นบ่อยเข้าใจก็เศร้าหมอง ครั้นทำกาละแล้ว สมณธรรมที่บำเพ็ญมาตรอด ๒๐,๐๐๐ ปีไม่อาจนำท่านให้ไปเกิดในสวรรค์ได้ 

 


                พระวินัยธรรูปหนึ่ง ไปเกิดเป็นยักษ์ในเหมวตบรรพตในหิมวันตประเทศ เป็นยักษ์ชื่อว่าเหมวตะ. พระวินัยธรอีกรูปหนึ่งไปเกิดเป็นยักษ์ในสาตบรรพต มัชฌิมประเทศ ชื่อว่าสาตาคิระ. ฝ่ายภิกษุบริวารก็เกิดเป็นยักษ์ผู้เป็นบริวารของยักษ์ทั้งสองนั้นเหมือนกัน แต่แม้จะไปเกิดเป็นยักษ์ก็เป็นยักษ์ชั้นสูงนะจ๊ะ 

 


                เหมวตะยักษ์และสาตาคิรยักษ์ได้เป็นเจ้าแห่งยักษ์ที่มีอานุภาพมาก ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในเสนาบดียักษ์ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๒๘ ตนตามธรรมดาของเสนาบดียักษ์ จะมาประชุมกันเดือนละ ๘ ครั้ง เพื่อวินิจฉัยธรรม โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นประธาน เมื่อสาตาคิรยักษ์และเหมาวตยักษ์ มาพบกันในที่ประชุมก็จำกันได้ ต่างก็ปรับทุกข์ต่อกันว่าเพื่อนรักพวกเราฉิบหายเสียแล้ว อาศัยสหายชั่วคนเดียวและเพราะมัวเมาเห็นแก่ลาภสักการะแท้ๆ จึงทำให้ต้องมาเกิดในกำเนิดยักษ์ ช่างหน้าละอายเหลือเกิน แต่ทายกผู้ถวายปัจจัย ๔ กลับได้ไปเกิดในสวรรค์กันหมด 

 


                นี่ก็เป็นอุทาหรณ์นะจ๊ะ การกระทำที่ผิดพลาดเพียงหนเดียวแต่มีผลอันยิ่งใหญ่ไปศาล ที่จะส่งผลเป็นวิบากข้ามชาติ ซึ่งมันไม่คุ้มกันเลยกับการประพฤติพรหมจรรย์มานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี อย่างไรก็ตามการกระทำที่ผิดพลาด สามารถแก้ไขได้ขอเพียงมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นยักษ์อดีตพระสองตนนี้ จะแก้ไขวิถีชีวิตในสังสารวัฏของตนอย่างไร ก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อนะจ๊ะ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล