ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : สาตาคิรยักษ์ ตอน ๔ จบ


ธรรมะเพื่อประชาชน : สาตาคิรยักษ์ ตอน ๔ จบ

Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP223_02.jpg

สาตาคิรยักษ์ ตอน ๔ จบ

                อันตรายของชีวิตเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย ความตายจะมาถึงเราในเวลาใด เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ เพียงแค่หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หรือหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเหมือนกัน ชีวิตมีเพียงแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เราถูกความแก่ ความเจ็บและความตายคุกคามอยู่ทุกอนุวินาที เมื่อเกิดมาก็ค่อยๆ แก่ไปตามลำดับ แล้วบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่ว่าใครก็หนีความตายไปไม่พ้น  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า น้ำตาของผู้ที่ร้องไห้เพราะความพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก มีมากกว่าน้ำในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔ รวมกันเสียอีก เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาทในชีวิตกันนะจ๊ะ ให้หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันให้ได้ทุกๆ คน

 

                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฐมกัลยาณมิตตสูตร ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้นสิ่งที่ขึ้นมาก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตหมายมาก่อนคือแสงเงินแสงทองฉันใด ส่วนสิ่งที่เป็นเบื้องต้นเป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือความเป็นผู้มีมิตรดีฉันนั้นเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จะทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ 

 

อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ

สัมมาทิฏฐิ             ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ       ความดำริชอบ
สัมมาวาจา            มีวาจาชอบ
สัมมากัมมันตะ      ทำการงานชอบ 
สัมมาอาชีวะ          มีอาชีพชอบ
สัมมาวายามะ        มีความเพียรชอบ
สัมมาสติ               มีสติชอบ
สัมมาสมาธิ            มีสมาธิชอบ

 

                อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้คือข้อปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพาน หลายภพหลายชาติที่พระโพธิสัตว์ ได้บังเกิดมาสร้างบารมี ยังต้องอาศัยมิตรแท้ที่คอยให้สติกำกับอยู่เช่นกัน เพราะเวลาที่เราลงมาสร้างบารมีนั้น เมื่อเกิดมาแล้วมโนปณิธานที่เคยตั้งไว้ อาจถูกอวิชชาเข้ามาบดบังดวงปัญญาในบางช่วง ทำให้หลงลืมไปได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยกัลยาณมิตร คอยแนะนำตักเตือน ใครได้มิตรแท้ชีวิตการสร้างบารมีก็จะปลอดภัย เหมือนได้รัตนอันล้ำค่าที่สุด เพราะเขาจะนำพาเราไปสู่การได้รัตนะอันประเสริฐ คือได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เหมือนดังเรื่องของ สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ที่เป็นเพื่อนรักกันมา ๑ พุทธันดรแล้ว ในวันนี้จะเป็นตอนสุดท้าย ที่เราจะมารับฟังชีวิตในสังสารวัฏของยักษ์สองสหาย 

 

                สืบเนื่องจากเมื่อวาน หลวงพ่อเล่าถึงตอนที่ สาตาคิรยักษ์ได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วเกิดความเลื่อมใส จึงมาชักชวนเหมวตยักษ์ผู้เป็นเพื่อนรัก ให้ไปฟังธรรมด้วยกัน เหมวตยักษ์ก็ได้ถามถึงคุณสมบัติของพระบรมศาสดาหลายข้อด้วยกัน เช่นถามว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงถือเอาสิ่งของ ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้แล้ว หรือทรงห่างไกลจากความประมาทได้จริงหรือ 

 

                สาตาคิรยักษ์ตอบว่าเพื่อน ท่านจะถามให้มากความไปทำไมกันก็ พุทธองค์ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทรงสำรวมแล้วในสัตว์ทั้งหลาย แล้วทรงห่างไกลจากความประมาท พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมไม่ทรงละทิ้งโลกุตรฌานสมาบัติ พระองค์ไม่ตรัสคำเท็จ มีพระวาจาไม่หยาบคายและไม่ตรัสคำส่อเสียด ตรัสคำที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว เพราะทรงกำหนดด้วยพระปัญญา พระองค์ไม่ทรงยินดีในกามทั้งหลาย และพระหฤทัยของพระองค์ก็ไม่ขุ่นมัว

 

                เหมวตยักษ์ถามว่า พระองค์ทรงถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาจริงหรือ ทรงมีจารณบริสุทธิ์จริงหรือ อาสวะทั้งหลายของพระองค์นั้นสิ้นไปแล้วหรือ สาตาคิรยักษ์ตอบว่า พระองค์ทรงถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและทรงมีจารณบริสุทธิ์ อาสวะทั้งหลายของพระองค์นั้นสิ้นไปหมดแล้ว ภพใหม่ของพระองค์ไม่มี  เหวตยักษ์ได้ฟังแล้วก็รู้สึกปลื้มปีติยินดี คราวนี้กลับเป็นผู้ชักชวนสาตาคิรยักษ์และบริวารไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับสรรเสริญด้วยจิตเลื่อมใสว่า มาเถิดท่านทั้งหลายพวกเราจะไปเฝ้าพระบรมศาสดา ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์เป็นมุนี ทรงฌานอยู่ในป่า เราจะเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ผู้เป็นดุจราชสีห์ ผู้ไม่เสด็จมาสู่ภพใหม่ ไม่มีความห่วงใยในกามทั้งหลาย แล้วจงทูลถามถึงธรรมเป็นเครื่องพ้นจากบ่วงมารกันเถิด

 

                  เมื่อยักษ์ทั้งสองตนพร้อมด้วยบริวารไปถึงแล้ว เหมวตยักษ์ก็เริ่มทูลถามปัญหา กับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระสมณะผู้เจริญเมื่ออะไรเกิดขึ้นโลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมกระทำความเชยชิดในอะไร โลกยึดถืออะไรเอาไว้ ทำไมโลกจึงมีแต่ความเดือดร้อนอยู่เป็นนิจ 

 

                พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนเหมวตะ เมื่ออายตนะภายในและภายนอกเกิดขึ้นโลกจึงเกิดขึ้น อายตนะภายในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ โลกย่อมกระทำความเชยชิดในอายตนะเหล่านี้ โลกยึดถืออายตนะภายในและภายนอกนั่นแหละ เมื่ออายตนะภายในและภายนอกมีอยู่โลกจึงเดือดร้อน อยู่เป็นนิจ 

 

                  เหมวตยักษ์ก็ได้ทูลถามต่อไปว่า อุปทานที่เป็นเหตุ ให้โลกต้องดือดร้อนเป็นฉไน ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกซึ่งธรรมชาติเป็นเครื่องออกจากโลก และบุคคลจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร

 

                   พระผู้มีพระเจ้าตรัสตอบว่ากามคุณ ๕ ในโลกมีใจเป็นที่ ๖ เราประกาศแล้ว บุคคลคลายความพอใจในกามคุณ ๕ นี้ได้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ เราบอกซึ่งธรรมชาติเป็นเครื่องออกจากโลกนี้ ตามความเป็นจริงแก่ท่านแล้ว ถ้าแม้ท่านทั้งหลายพึงถามเราพันครั้ง เราก็จะบอกข้อนี้แก่พวกท่านเหมือนเดิม เพราะบุคคลย่อมพ้นจากทุกข์ได้ ด้วยอาการอย่างนี้ 

 


                ยักษ์ทูลถามต่อไปว่า ในโลกนี้ใครเล่าข้ามโอฆะได้  ในโลกนี้ใครเล่าข้ามอรรณพได้  ใครย่อมไม่จมลงในอรรณพที่ลึกไม่มีที่พึ่งไม่มีที่ยึดเหนี่ยว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล มีปัญญา มีใจตั้งมั่นดีแล้ว มีความหมายรู้ ณ ภายใน มีสติทุกเมื่อย่อมข้ามพ้นโอฆะที่ข้ามได้แสนยาก ผู้นั้นเว้นจากกามสัญญา ล่วงสังโยชณ์ทั้งปวงเสียได้ มีความเพลิดเพลินในภพหมดสิ้นแล้ว ย่อมไม่จมลงในอรรณพ คือสงสารอันลึก

 

                ยักษ์สองสหายได้ใช้ปัญญาไตร่ตรองตามพุทธวิสัชนา จากนั้นก็ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ในที่สุดก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน จากที่มีผิวพรรณหยาบ ก็กลายเป็นยักษ์อริยเจ้า ผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งผ่องใสขึ้นมาทันที

 

                เมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว ก็ได้กล่าวชมพระบรมศาสดาว่า เชิญท่านทั้งหลายดูพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญาลึกซึ้ง ผู้ทรงแสดงเนื้อความได้อย่าละเอียด ไม่มีความกังวลไม่คล่องแล้วในกามภพ พ้นวิเศษแล้วในอารมณ์ทั้งปวง เชิญท่านทั้งหลายดูพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ไม่ข้องแล้วในอาลัยแห่งกาม ทรงดำเนินไปในทางอันเป็นอริยะ วันนี้เราทั้งหลายเห็นดีแล้ว พวกเราทั้งหลายได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงข้ามโอฆะได้แล้ว หาอาสวะมิได้ ฝ่ายยักษ์บริวาร ๑,๐๐๐ ตนที่ติดตามมาด้วย ก็ถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเหมือนกัน ได้เปล่งคำขอถึงพระรัตนตรัยว่า พระองค์เป็นพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลายขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมบดี จากนั้นยักทั้งหลายก็ทูลลาจากไป

 

                 เห็นไหมจ๊ะว่า ชีวิตการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏจำเป็นต้องอาศัยกัลยาณมิตร จะทำให้เราได้ฉุกคิดถึงเป้าหมายดั้งเดิม คือเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แม้เคยประมาทพลาดพลั้งแต่ก็กลับลำชีวิต ให้หวนกลับมาสู่ปณิธานเดิมได้ ดังนั้นพวกเราทุกคน ควรตระหนักถึงความมีกัลยาณมิตร หมั่นแสวงหาและเข้าไปใกล้บัณฑิตเข้าไว้ โดยเฉพาะมิตรแท้ภายในคือพระธรรมกายภายในตัวของเรา ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราอย่างแท้จริง เราต้องปฏิบัติให้เข้าไปถึงท่าน เมื่อเข้าถึงแล้วชีวิตการสร้างบารมีในสังสารวัฏ จะได้สมบูรณ์และปลอดภัย ดังนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้ดีทุกคนนะจ๊ะ

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล