อานิสงส์แห่งอัญชลีกรรม

วันที่ 16 พย. พ.ศ.2558

อานิสงส์แห่งอัญชลีกรรม
 

อานิสงส์แห่งอัญชลีกรรม
 

     พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนานกว่าที่พระบารมีจะเต็มเปี่ยม กระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น พระองค์ทรงมีพระทัยเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะทำความดีอย่างเดียว โดยไม่มีข้อแม้ข้ออ้างหรือเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น  ชีวิตของพวกเราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ควรจะดูแบบอย่างพระบรมครูของพวกเรา แล้วตั้งใจดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ท่าน โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรม ให้ใจเข้าสู่เส้นทางสายกลางอันเป็นทางของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่เดียวที่จะนำพาชีวิตของเราให้เข้าถึงพระนิพพานได้


มีวาระแห่งภาษิตที่มาใน โมฆราชเถราปทาน ความว่า
 

“เราได้ประณมอัญชลีเหนือเศียรเกล้า ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว สรรเสริญพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก อนึ่ง สัตว์ผู้มีกุศลเจตนาเหล่าใด คือ สัตว์ที่มีรูปและไม่มีรูป สัตว์เหล่านั้นย่อมเข้าไปภายในข่ายพระญาณของพระองค์ทั้งหมด พระองค์ทรงถอนโลกอันอาดูร จากความมืดนี้ได้ สัตว์เหล่านั้นได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ย่อมข้ามกระแสความสงสัยไปได้
โลกอันอวิชชาห่อหุ้มแล้ว อันความมืดท่วมทับ ทรงกำจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ พระองค์ทรงมีจักษุ เป็นผู้ทรงบรรเทาความมืดมนในใจของสัตว์ทั้งหลาย”


     พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมของความบริสุทธิ์ สมบูรณ์ด้วยพระคุณทั้งสาม คือ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ทรงเป็นที่เคารพของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ บุคคลใดก็ตาม ที่ได้มีโอกาสสั่งสมบุญกับพระองค์ หรือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับพระองค์แล้ว ย่อมจะประสบแต่ความสุขความเจริญไปตลอดเส้นทางแห่งการสร้างบารมี
 
     เพราะฉะนั้น นักสร้างบารมีทั้งหลาย จึงไม่เคยมองข้ามการสร้างบุญกับพระพุทธองค์ เมื่อมีโอกาสแล้วก็จะไม่ปล่อยให้ผ่านไป เพราะท่านเหล่านั้น ต่างก็ตระหนักดีว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นเนื้อนาบุญที่วิเศษสุดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เหมือนดั่งเนื้อนาดี ที่ชาวนาต่างก็ปรารถนาจะปลูกข้าวกล้าเพื่อหวังผลอันไพบูลย์
 
     * ดังเช่นประวัติการสร้างบารมีของพระอริยสาวกท่านหนึ่ง ที่ท่านได้ประสบโชคที่วิเศษสุด คือได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี สมัยนั้นท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ซึ่งเป็นตระกูลที่ได้รับความนับถือมีเกียรติมาก ทารกน้อยนั้นเป็นที่รักของหมู่ญาติทั้งหลาย เจริญเติบโตขึ้นในท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น ครั้นเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาก็ส่งให้ไปศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ของพราหมณ์ ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับการยอมรับ และเป็นวิชาความรู้ที่นำชื่อเสียงมาให้แก่วงศ์ตระกูล
 
     บุตรของพราหมณ์ก็ได้ศึกษาจนสำเร็จ หนึ่งในวิชาที่แตกฉานที่สุด ก็คือวิชาดูลักษณะ วันหนึ่งขณะที่กำลังพักผ่อนตามอัธยาศัยอยู่นั้น ก็มีบุญตาได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี ทรงแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปตามถนน ท่านได้มองเห็นรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวด้วยฉัพพรรณรังสีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ใช้วิชาที่เล่าเรียนมาดูลักษณะก็ทราบว่า มหาสมณะนี้ต้องเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างแน่นอน นับเป็นบุญลาภของเราหนอที่ได้พบเห็นพระองค์ท่าน เมื่อคิดอย่างนี้ก็มีใจเลื่อมใส ไม่รอช้ารีบเข้าไปใกล้พระองค์ แล้วก้มลงกราบถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีเหนือเศียรเกล้ากล่าวสรรเสริญพระองค์ว่า
 
     "พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเป็นนาถแห่งโลก สรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ทั้งหมด พระองค์ทรงถอนโลกอันอาดูร ด้วยความมืดนี้ขึ้นได้แล้ว สัตว์เหล่านั้นได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ย่อมข้ามกระแสความสงสัยได้ โลกอันอวิชชาห่อหุ้มแล้ว อันความมืดท่วมทับ พระองค์ทรงกำจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณอันประเสริฐของพระองค์ พระองค์ทรงมีจักษุ เป็นผู้ทรงบรรเทาความมืดมนในใจของสัตว์ทั้งปวง สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมากฟังธรรมของพระองค์แล้ว จักเข้าสู่พระนิพพานได้" เมื่อกล่าวคำสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้แล้ว ก็ประคองอัญชลีอยู่อย่างนั้นด้วยมหาปีติ
 
     พราหมณ์นั้นอยากจะได้บุญเพิ่มขึ้น ก็เอาน้ำผึ้งจากรวงที่ไม่มีตัวผึ้ง ใส่ลงไปจนเต็มบาตร แล้วประคองด้วยมือทั้งสองน้อมถวายพร้อมกับกล่าวว่า “ขอพระองค์ทรงเป็นเนื้อนาบุญแก่ข้าพระบาทด้วยเถิด” เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับแล้วก็ปรารถนาจะให้พราหมณ์นั้นดีใจ พระองค์จึงเสวยน้ำผึ้ง ครั้นกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็เสด็จเหาะขึ้นสู่นภากาศ ประทับอยู่ในอากาศตรัสพยากรณ์ว่า
 
     "ผู้ใดได้ถวายบังคมเราตถาคต กล่าวสรรเสริญชมเชยญาณของเรา ด้วยจิตอันเลื่อมใสไม่คลอนแคลน ผู้นั้นจะไม่ไปสู่ทุคติเลยนับจากภพชาตินี้ไป และผู้นั้นจักเสวยเทวรัชสมบัติ ๖๔ ครั้ง บุคคลนั้นจักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง  จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชเสวยสมบัติอยู่ในแผ่นดินอีกนับครั้งไม่ถ้วน จักเป็นผู้มีปัญญาเล่าเรียนทรงจำมนต์ จบไตรเพท แล้วจักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดม จักพิจารณาอรรถธรรมอันลึกซึ้งอันละเอียดได้ด้วยญาณ เป็นสาวกของพระบรมศาสดา มีชื่อในภพนั้นว่า โมฆราช จักถึงพร้อมด้วยวิชชาในพระพุทธศาสนา ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะเหลืออยู่ พระโคดมผู้ทรงเป็นยอดของผู้นำหมู่ จักทรงตั้งผู้นั้นไว้ในเอตทัคคะผู้ครองผ้าเศร้าหมองประพฤติตนสมถะ"
 
     ด้วยผลบุญที่พราหมณ์ได้ทำในครั้งนั้น ได้ส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่เพียง ๒ ภพภูมิ และได้เสวยมหาสมบัติดังพุทธพยากรณ์ทุกประการ จนกระทั่งมาถึงสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ  ท่านได้ลงมาเกิดอีกครั้ง ได้เป็นมหาอำมาตย์ของพระราชาพระนามว่า กัฏฐวาหนะ พระราชาได้ส่งท่านไปนิมนต์พระบรมศาสดา ท่านได้เดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาในขณะที่พระพุทธองค์กำลังแสดงธรรมอยู่ เมื่อฟังธรรมแล้วก็เกิดศรัทธา จึงตัดสินใจออกบวชแล้วบำเพ็ญสมณธรรมสิ้นสองหมื่นปี จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในสุคติภูมิสิ้นพุทธันดรหนึ่ง 
 
     จนกระทั่งมาถึงพุทธกาลนี้ ได้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์มีนามว่า โมฆราช เมื่อได้ศึกษาศิลปะในสำนักพาวรีพราหมณ์ เกิดปัญญาอยากจะแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ จึงออกบวชเป็นดาบส มีดาบสพันหนึ่งเป็นบริวาร และได้ไปยังสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ซักถามปัญหากับพระบรมศาสดา พอพระบรมศาสดาวิสัชชนาปัญหาเสร็จ ด้วยบุญบารมีที่ท่านสั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็บรรลุพระอรหัต ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถระเป็นผู้ประกอบด้วยความสันโดษกว่าพระเถระองค์อื่นๆ ทั้งหมด เป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษด้วยผ้าไตรจีวร ไตรจีวรของท่านใช้อย่างคุ้มค่า ธรรมดาผ้าจะเศร้าหมองด้วยเหตุ ๓ อย่าง คือ เศร้าหมองด้วยการตัดครั้งแรก เศร้าหมองด้วยด้ายที่ใช้เย็บ และเศร้าหมองด้วยเครื่องย้อม
 
     พระบรมศาสดาย้อนไปในอดีตพบว่า เป็นความปรารถนาของพระโมฆราชเถระที่ตั้งใจเอาไว้ในอดีต จึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งอันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรงไตรจีวรอันเศร้าหมอง พระโมฆราชเถระได้บรรลุถึงมหาสมบัติใหญ่ ทั้งที่เป็นโลกิยะและอริยะ โดยสมควรแก่ความปรารถนาของตน
 
     เราจะเห็นว่า อานิสงส์แห่งการถวายอภิวาทกับท่านผู้เป็นเนื้อนาบุญนั้น มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะมองข้าม เพราะการกระทำอัญชลีกรรมนั้น จะเป็นเบื้องต้นของศรัทธาที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ ทำให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพานไปตามลำดับ และใครก็ตามที่สามารถน้อมไหว้ผู้ทรงศีลได้ ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ในจิตใจของบุคคลนั้นมีบุญมากพอที่จะได้บรรลุธรรม มีใจน้อมไปในกุศล สามารถที่จะสร้างบุญใหญ่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ จนกระทั่งบารมีเต็มเปี่ยม การไหว้ด้วยจิตที่เลื่อมใสต่อผู้ทรงศีลมีอานิสงส์ใหญ่ จะทำให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ และจะทำให้เรามีปัญญารู้แจ้งเข้าถึงพระธรรมกายได้โดยง่าย


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๑๔๙
  

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0055079817771912 Mins