หนทางสายกลางเป็นทางเอกสายเดียวที่จะนำพาทุกๆ ชีวิตไปสู่อายตนนิพพาน เป็นทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านดำเนินจิตเข้าไปสู่ภายในจนได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล การที่เราจะเข้ากลางของกลางภายในได้อย่างไม่มีอะไรข้องขัด ใจของเราจะต้องเกลี้ยงเกลาโดยไม่ติดอะไร มองโลกด้วยภาวะแห่งจิตที่เป็นกลางๆ ไม่ติดใจอะไร เหมือนดอกบัว ถึงแม้ว่าเกิดจากโคลนตม แต่ก็ชูช่อขึ้นเหนือนํ้าไม่ติดในเปือกตมฉันใด เราเกิดมาในโลกนี้ก็ให้เป็นเหมือนดอกบัวฉันนั้นเหมือนกัน ให้น้อมนำจิตของเรากลับเข้ามาสู่เส้นทางสายกลาง เดินตามพระอริยเจ้าทั้งหลาย จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตกันทุกคน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน มหาสีหนาทสูตร ว่า
"มนุสฺเส จาหํ สารีปุตฺต ปชานามิ มนุสฺสโลกคามิญฺจ
มคฺคํ มนุสฺสโลกคามินิญฺจ ปฏิปทํ ยถา ปฏิปนฺโน จ กายสฺส
เภทา ปรมฺมรณา มนุสฺเสสุ อุปปชฺชติ ตญฺจ ปชานามิ
เราย่อมรู้ชัดซึ่งเหล่ามนุษย์ ทางอันยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลกและปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก อนึ่ง สัตว์ปฏิบัติอย่างไร เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมอุบัติในหมู่มนุษย์
เราย่อมรู้ชัดข้อปฏิบัตินั้น"
ความสงสัยของมนุษย์ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในใจเสมอว่า “มนุษย์เราตายไปแล้วจะได้ไปเกิดเป็นเทวดานั้นมีจริงไหม และสวรรค์วิมานที่คนโบราณท่านมักชอบพรรณนาให้วิจิตรพิสดารต่างๆ นั้นหลับหูหลับตาว่าเอาเองหรือเปล่า” ความสงสัยเหล่านี้ หากเราเชื่อในตถาคตโพธิสัทธา คือเชื่อมั่นในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว ปัญหาเรื่องสวรรค์มีจริงไหมก็คงจะหลุดล่อนจากใจของเราได้ เพราะพระองค์ทรงยืนยันว่าสวรรค์มีจริง และชีวิตหลังความตายยังไม่สูญสิ้น การเวียนว่ายตายเกิดจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น
พระพุทธวจนะที่พระองค์ทรงกล่าวนี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เราซึ่งมีความตายเป็นธรรมดา ต่างต้องล้มหายตายจากโลกไปทุกๆ วัน ดังที่พวกเราเห็นกันอยู่เป็นประจำ เมื่อตายไปแล้ว ไม่ใช่สูญหายไปเฉยๆ ตามความเข้าใจของบางคน ในความเป็นจริงของชีวิตนั้น พระพุทธองค์ทรงเห็นชัดว่า ขณะที่มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ใครก็ตามที่ประพฤติธรรม นำชีวิตให้ดำเนินไปตามปฏิปทาแห่งทางไปสู่เทวโลก คนนั้นก็ไม่แคล้วที่จะได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตรเทพธิดา เสวยสุขสมบัติอยู่ในโลกสวรรค์
* เหมือนตัวอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในสมัยพุทธกาล มีบันทึกไว้ว่า ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนาราม ใกล้เมืองราชคฤห์ รุ่งอรุณวันหนึ่ง พระองค์ทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพระมหากรุณา ทรงพิจารณาเล็งแลด้วยพุทธญาณ ก็ทรงเห็นว่า หญิงแก่จัณฑาลใกล้เมืองราชคฤห์คนหนึ่งซึ่งมีวัยเฒ่าชราแล้วจักต้องสิ้นอายุสังขารในวันนั้น ด้วยมหากรุณาพระองค์จึงดำริที่จะทรงอนุเคราะห์หญิงชรานั้น ครั้นรุ่งเช้าจึงเสด็จเขาไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก
หญิงชราผู้ไม่เคยนับถือพระพุทธศาสนา และไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นอย่างไร เกิดมาในชาตินี้ก็ไม่มีใครชี้แนะหนทางที่ถูกต้อง จึงเอาแต่ทำมาหากินพอเอาตัวรอดไปวันๆ โดยเฉพาะชีวิตในวรรณะจัณฑาลนั้น นับเป็นฐานะที่ลำบากยากเข็ญ เพราะเป็นที่รังเกียจของสังคม ถูกข่มเหงนํ้าใจด้วยการกระทำต่างๆ อยู่เป็นประจำ จึงได้แต่อดทนเรื่อยมา เพราะคิดว่าเมื่อละโลกแล้ว ชีวิตคงสูญสิ้นดับสลายไปที่เชิงตะกอน ไม่ต้องมาเกิดให้ลำบากลำบนอย่างนี้อีก
เช้าวันนั้น หญิงชราตั้งใจจะไปธุระในที่แห่งหนึ่ง นางเดินไปพลางนึกถึงความอเนจอนาถของชีวิตไปด้วย ยายแก่ถือไม้เท้าประจำตัวเดินงุ่มง่ามออกจากพระนคร ครั้นแลเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก กำลังเสด็จสวนทางมา นางจึงรีบออกไปยืนอยู่ริมทาง เพื่อหลีกทางให้พระพุทธองค์เสด็จผ่านไป จากนั้นก็ทำท่าจะเดินต่อไปโดยไม่สนใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อย่างใด
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงห้าม ด้วยการเสด็จไปยืนขวางด้านหน้าของหญิงชรา พระมหาโมคคัลลานะรู้อัธยาศัยของพระพุทธองค์ จึงกล่าวขึ้นว่า “ดูก่อนยาย ขอยายจงนมัสการพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงมีพระยศและกิตติศัพท์ประเสริฐกว่าใครๆ ในภพทั้งสาม พระองค์ทรงยืนอยู่เพื่อจะโปรดยาย ขอยายจงยังจิตให้เลื่อมใส ถวายนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเร็วเถิด จะได้เป็นบุญกุศลติดตัวยายไปในภพเบื้องหน้า"
หญิงชราฟังดังนั้น รู้ว่าตัวเองคงอยู่ในโลกอีกไม่นาน ก็บังเกิดความสังเวชสลดใจ จึงทำจิตให้เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ประนมอัญชลีถวายบังคมพระพุทธองค์ ทำให้นางบังเกิดมหาปีติเป็นเอกัคคตาจิตตั้งอยู่ในพระพุทธคุณมิได้ขาด ส่วนพระพุทธองค์ก็ดำริว่า “การกระทำของหญิงจัณฑาลนี้ เพียงพอที่จะให้ได้ไปบังเกิดในสุคติสวรรค์” จากนั้นทรงพาพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปสู่พระนคร เพื่อทรงบิณฑบาตต่อไป
เมื่อหมู่พระภิกษุสงฆ์จากไปได้ไม่นาน ก็มีโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนอยู่ได้ยินเสียงไม้เท้าดังแก๊กๆ จึงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ แล้ววิ่งเข้าชนหญิงชราซึ่งกำลังถือไม้เท้าเดินงุ่มงาม แต่มีใจเอิบอิ่มไปด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โคแม่ลูกอ่อนได้วิ่งชนสุดแรงจนหญิงชราล้มหงายศีรษะฟาดพื้นเสียชีวิตในทันที
ด้วยจิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสในพระบรมศาสดาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทำให้นางได้ไปบังเกิดเป็นเทพนารี อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเหล่านางเทพอัปสรถึง ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร เมื่อเทพนารีโสภาผู้อุบัติใหม่ ได้พิจารณาดูกุศลที่ตนบำเพ็ญมาก็ทราบว่า การที่ตนได้ทิพยสมบัติมากมาย มีรูปร่างและวิมานอันประเสริฐ ก็เพราะอานิสงส์แห่งการถวายนมัสการพระบรมศาสดา ด้วยการเตือนสติของท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ด้วยความสำนึกในพระคุณของพระมหาเถระ นางได้เล็งดูด้วยทิพยจักษุก็เห็นว่า บัดนี้พระมหาเถระผู้มีพระคุณกำลังนั่งอยู่ในป่าใหญ่ นางจึงพาบริวารลงจากทิพยวิมานเข้าไปหาพระเถระ ได้นมัสการท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส พระเถระก็ได้ไต่ถามว่า “เทพธิดา ท่านรุ่งเรืองด้วยรัศมีกายและรัศมีแห่งเครื่องประดับ ช่างบรรเจิดสว่างไสวอลังการเหลือเกิน ท่านมีบริวารและยศเป็นอันมาก มาจากทิพยวิมานแวดล้อมไปด้วยเทพนารี ซึ่งมีเครื่องประดับวิจิตรต่างๆ ท่านพร้อมด้วยเทพอัปสรถึง ๑,๐๐๐ มานมัสการเราด้วยเหตุประการใด"
เทพธิดาได้ตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าคือหญิงชราจัณฑาล ซึ่งพระคุณเจ้าได้แนะนำให้ถวายนมัสการสมเด็จพระจอมมุนี เมื่อข้าพเจ้าได้ตายจากกำเนิดแห่งจัณฑาลในเช้าวันนี้ ข้าพเจ้าได้ไปบังเกิดในทิพยวิมาน ซึ่งจำเริญด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ มีหมู่เทพอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวารแวดล้อม ข้าพเจ้านั้นประเสริฐด้วยรัศมีและยศศักดิ์เพราะได้บุญใหญ่จากทักขิไณยบุคคล ข้าพเจ้าทราบชัดแล้วว่า การทำกุศลนั้นถึงแม้ว่าจักกระทำเพียงเล็กน้อยแต่ก็ได้ผลมากหากได้เนื้อนาบุญอันประเสริฐบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าระลึกถึงพระคุณของพระคุณเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงมาเพื่อน้อมนมัสการขอบพระคุณ และจักขอลาพระคุณเจ้าไปในกาลบัดนี้” ครั้นเทพนารีอดีตยายจัณฑาลกล่าวจบแล้ว ก็อันตรธานหายวับไปปรากฏในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จากนั้นก็พาบริวารเที่ยวชมสวนนันทวันต่อไป
เราจะเห็นว่า สวรรค์คือสุคติภูมิอันน่ารื่นรมย์ที่รอรับผู้มีบุญไปเสวยสุขกันนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายของผู้มีบุญจะได้ไปบังเกิด ณ สถานที่น่ารื่นรมย์อย่างนี้ สวรรค์เป็นของกลางของสรรพสัตว์ ไม่เฉพาะเจาะจงสำหรับคนจนหรือคนรวย ความรวยหรือจนบนโลกมนุษย์เอาไปใช้ในสวรรค์ไม่ได้ เพราะเขาวัดกันที่ดวงบุญในตัว ใครปรารถนาจะไปอยู่ชั้นไหนก็ให้สั่งสมบุญเอาไว้ แล้วเราจะสมปรารถนา ซึ่งสมบัติต่างๆ ก็รอคอยเราอยู่ตรงนั้น ขอให้เราประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และให้มีสัมมาทิฏฐิอยู่ในใจ คือให้เห็นว่า ทำดีต้องได้ดีจริง นรกสวรรค์มีจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง ให้เชื่อในตอนนี้ที่เรายังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าเชื่อตอนตายแล้ว เพราะถ้าเชื่อตอนนั้นก็สายเกินไปแล้ว
ดังนั้น ให้หมั่นสั่งสมบุญกันในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นี้แหละ ทำใจให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เลื่อมใสในคุณอันไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ และตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นแก่นแท้ของรัตนะภายในกันให้ได้ทุกๆ คน
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๑๗๗