ภิกขุปาฏิโมกข์
ปุพฺพกิจฺจานิ
ปุพฺพกิจฺจานิ
อุโปสถกรณโต* ปุพฺเพ นววิธํ ปุพฺพกิจฺจํ กาตพฺพํ โหติ . / ตณฺฐานสมฺมชฺชนฺจ ตตฺถ ปทีปุชฺชลนฺจ / อาสนปฺญปนฺจ ปานียปริโภชนียูปฏฐปนฺจ / ฉนฺทารหานํ ภิกฺขูนํ ฉนฺทาหรณฺจ / เตสฺเญว อกตุโปสถานํ ปาริสุทฺธิยาป * / อาหรณฺจ อุตุกฺขานฺจ ภิกฺขุคณนา จ ภิกฺขุนีนโมวาโท จาติ. /
ตตฺถ ปุริมานิ จตฺตาริ* ภิกฺขูนํ วตฺตํ ชานนฺเตหิ อารามิเกหิปิ ภิกฺขูหิปิ * กตานิ ปรินิฏฺฐินาติ โหนฺติ. /
ฉนฺทาหรณ ปาริสุทฺธิ* อาหรณานิ ปน อิมิสฺสํ พทฺธสีมายํ*/ หตฺถปาสํ วิชหิตฺวา นิสินฺนานํ ภิกฺขูนํ อภาวโต นตฺถิ. /
อุตุกฺขานํนาม เอตฺตกํอติกฺกนฺตํ, เอตฺตกํอวสิฏฐนฺติเอวํอุตุอาจิกฺขนํ; / อุตูนีธ ปน สาสเน เหมนฺตคิมฺหวสฺสานานํ วเสน ตีณิโหนฺติ. / อยํเหมนฺโตตุ* อิมสฺมิญฺจ อุตุมฺหิ อฏฐอุโปสถา, / อิมินา ปกฺเขน เอโกอุโปสโถ สมฺปตฺโต. / สตฺต อุโปสถา อวสิฏฐา,* / อิติ เอวํ สพฺเพหิ อายสฺมนฺเตหิ อุตุกฺขานํ ธาเรตพฺพํ. /
(รับว่า เอวํ ภนฺเต พร้อมกัน)
ภิกฺขุคณนา นาม อิมสฺมึอุโปสถคเคฺ / อุโปสถตฺถาย* สนฺนิปติตา ภิกฺขูเอตฺตกาติ ภิกฺขูนํ คณนา. / อิมสฺมิมฺปน อุโปสถคฺเค* จตฺตาโร ภิกฺขู* สนฺนิปติตา โหนฺติ. /
อิติ เอวํ ภนฺเต สพฺเพหิ อายสฺมนฺเตหิ ภิกฺขุคณนาปิ ธาเรตพฺพา. /
(รับว่า เอวํ ภนฺเต พร้อมกัน)
ภิกฺขุนีนโมวาโท ปน อิทานิ ตาสํ นตฺถิตาย นตฺถิ. / อิติสกรโณกาสานํปุพฺพกิจฺจานํกตตฺตา, / นิกฺกรโณกาสานํ ปุพฺพกิจฺจานํ ปกติยา ปรินิฏฐิตตฺตา, / เอวนฺตํ นววิธํ ปุพฺพกิจฺจํ ปรินิฏฐิตํโหติ. /
นิฏฐิเต จ ปุพฺพกิจฺเจ สเจ โส ทิวโส จาตุทฺทสีปณฺณรสี- สามคฺคีนมฺญตโร / ยถาชฺช อุโปสโถ* ปณฺณรโส* ยาวติกา จ ภิกฺขูกมฺมปฺปตฺตา / สงฺฆุโปสถารหาจตฺตาโร* วา ตโต วา อติเรกา ปกตตฺา ปาราชิกฺ อนาปนฺนา / สงฺเฆน วา อนุกฺขิตฺตา, เต จ โข หตฺถปาสํ อวิชหิตฺวา เอกสีมายํ ฐิตา, / เตสญฺจ วิกาลโภชนาทิวเสน วตฺถุสภาคาปตฺติโย เจ น วิชฺชนฺติ; / เตสญฺจ หตฺถปาเส หตฺถปาสโต พหิกรณวเสน / วชฺเชตพฺโพ โกจิ วชฺชนียปุคฺคโล เจ นตฺถิ. /
เอวนฺตํ อุโปสถกมฺมํ* อิเมหิจตูหิ ลกฺขเณหิ สงฺคหิตํ / ปตฺตกลฺลํ นาม โหติ กาตุ ยุตฺตรูปํ. / อุโปสถกมฺมสฺส* ปตฺตกลฺลตฺต วิทิตฺวา / อิทานิ กริยมาโน อุโปสโถ สงฺเฆน อนุมาเนตพฺโพ* /
(รับว่า สาธุ พร้อมกัน)
บุพพกรณ์-บุพพกิจ(แปล)
บุพพกรณ์-บุพพกิจ(แปล)
ก่อนแต่ทำอุโบสถ พึงทำบุรพกิจ 9 ประการ คือ
กวาดสถานที่ทำอุโบสถนั้น
จุดประทีปในที่นั้น
แต่งตั้งอาสนะ
ตั้งน้ำฉันน้ำใช้
น้ำฉันทะของภิกษุผู้ควรแก่ฉันทะ
บอกฤดู
นำปาริสุทธิของเธอ ผู้ลงทำอุโบสถไม่ได้
นับภิกษุ
สอนพวกภิกษุณี
ในบุพพกิจ 9 นั้น 4 เบื้องต้น อันคนเฝ้าอาราม และภิกษุทั้งหลายผุ้รู้วัตรของพวกภิกษุ ทำสำเร็จแล้ว.
ส่วนการนำฉันทะ นำปาริสุทธิไม่มี เพราะภิกษุทั้งหลาย ผู้นั่้งเว้นหัตถบาส ในสีมานี้ไม่มี
การบอกฤดูโดยนัยดังนี้ว่า ล่วงเท่านี้ เหลือเท่านี้ ชื่อว่าบอกฤดู ก็ในศาสนานี้มี 3 ฤดู ด้วยอำนาจแห่งฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน. ก็ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ในฤดูหนาวนี้มี 8 อุโบสถ อุโบสถหนึ่งถือด้วยปักษ์อันนี้ ยังเหลือ 7 อุโบสถ ท่านทั้งปวงพึงจำการบอกฤดูอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
การนับภิกษุโดยนัยนี้ว่า ล่วงเท่านี้ เหลือเท่านี้ ชื่อว่าบอกฤดู ก็ในศาสนานี้มี 3 ฤดู ด้วยอำนาจแห่งฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูฝน. ก็ฤดูนี้เป็นฤดูหนาว ในฤดูหนาวนี้มี 8 อุโบสถ อุโบสถหนึ่งถึงด้วยปักษ์อันนี้ ยังเหลือ 7 อุโบสถ ท่านทั้งปวงพึงจำการบอกฤดูอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
การนับภิกษุโดยนัยนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกัน เพื่อประสงค์ทำอุโบสถในโรงอุโบสถนี้ เท่านี้รูป ดังนี้ ชื่อว่าการนับภิกษุ. ก็ในโรงอุโบสถนี้มีภิกษุประชุมกัน 4 รูป ท่านทั้งปวง พึงจำแม้การนับภิกษุ ด้วยประการฉะนี้.
ก็การสอนภิกษุณีไม่มี เพราะพวกภิกษุณีนั้น ในเวลานี้ไม่มี.เพราะบุพพกิจซึ่งมีโอกาสพอจะทำ ได้ทำแล้ว เพราะให้บุพพกิจ ซึ่งหมดโอกาสจะทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้วตามปกติ ด้วยประการฉะนี้ บุรพกิจ 9 ประการนั้น จึงเป็นอันสำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วยประการอย่างนี้.
ก็เมื่อบุพพกิจสำเร็จแล้ว ถ้าวันนั้นเป็นวันจาตุททสี หรือวันปัณณรสี หรือเป็นวันสามัคคี วันใดวันหนึ่ง เช่น อุโบสถวันนี้ที่ 15 ก็แลภิกษุผุ้ควรแก่สังฆอุโบสถ พอทำสำเร็จได้มีกำหนด 4 รูปก็ดี เกินกว่านั้นก็ดี เป็นปกตัตตะภิกษุ (ภิกษุปกติ) ไม่ต้องปาราชิก หรือไม่ถูกสงฆ์ยกวัตร ทั้งเธอไม่ละหัตถบาสแล ตั้งอยู่ในสีมาเดียวกัน และถ้าเธอไม่มีสภาคาบัติโดยวัตถุ เพราะฉันอาหารในเวลาวิกาลเป็นต้น และถ้าไม่มีบุคคลควรเว้นไร ๆ ในหัตถบาสซึ่งควรเว้น ด้วยกันไว้เสียนอกหัตถบาส อุโบสถกรรมนั้นกำหนดแล้วด้วยลักษณะทั้ง 4 นี้ ชื่อว่ามีความพร้อมพรั่งถึงที่แล้ว สมควรทำได้ ด้วยประการฉะนี้.
สงฆ์ทราบความพร้อมพรั่งถึงที่แห่งอุโบสถกรรมแล้ว พึงให้อนุมัติอุโบสถที่จะกระทำ ณ กาลบัดนี้.
อ้างอิงบทสวดและคำแปลจาก
http://www.dmc.tv/forum/uploads/post-323-1156305445.ipb