สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ พระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี พระทศพลทรงทราบว่าภิกษุทั้งหลายต่างตรึกถึงกามวิตก ทรงให้ภิกษุประชุมกันแล้วตรัสว่า ขึ้นชื่อว่ากิเลสเป็นของเล็กน้อยไม่มีเลยธรรมดาว่าภิกษุต้องข่มกิเลส ที่เกิดแล้วเสีย บัณฑิตครั้งก่อนต่างก็ข่มกิเลส ทั้งหลายเสียได้ จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..
ในอดีต ณ นครแห่งหนึ่ง พระราชาแห่งแคว้นทรงปกครองโดยธรรม วันหนึ่งทรงทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า 5 องค์เสด็จผ่านมา ได้นิมนต์ขึ้นสู่ราชนิเวศน์ เมื่ออังคาสด้วยภัตตาหารเสร็จแล้วได้ตรัสถามเหตุแห่งการบรรพชาของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ มีเรื่องดังนี้ท่านหนึ่ง ลักขโมยกระบอกน้ำของเพื่อนมาดื่ม เพราะกลัวน้ำของตนจะหมดเร็ว เกิดสำนึกเสียใจคิดว่า..
"ตัณหานี้ร้ายนัก! มันจักเจริญเติบโตแล้วโยนเราลงนรกเป็นแน่ เราจะแก้ไขข่มมันเสียให้ได้ก่อนที่มันจะพาลงนรก" จึงได้เจริญวิปัสสนาหักกิเลสบรรลุปัจเจกโพธิญาณท่านที่สอง กล่าวคำเท็จต่อโจรเรียกค่าไถ่ ว่ามิได้เป็นอะไรกับบิดา โจรจึงปล่อยตัวทั้งสองออกมา เกิดกลัวบาปจึงปราบกิเลสเจริญวิปัสสนาจนบรรลุปัจเจกโพธิญาณท่านที่สาม มองภรรยาผู้อื่นด้วยกามกิเลสเกิดสลดสังเวชตนเอง ว่าความกำหนัดจะมัดตนลงสู่นรกได้สักวัน จึงเจริญวิปัสสนาได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุปัจเจกโพธิญาณท่านที่สี่ เป็นนายอำเภอแล้วเผลออนุมัติให้ชาวบ้านฆ่าสัตว์บูชายัญสัตว์มากมายต้องมาล้มตายเพราะตัว จึงกลัวบาปคิดกำราบกิเลสเจริญวิปัสสนาจนบรรลุปัจเจกโพธิญาณท่านที่ห้า เป็นนายอำเภอเผลอให้ลูกบ้านดื่มสุราจนต้องทะเลาะตบตีกัน จึงละอายใจอยากไกลกิเลส เป็นเหตุให้เจริญวิปัสสนาจนบรรลุปัจเจกโพธิญาณ..
พระราชาสดับจบแล้วมีจิตเลื่อมใสได้ถวายจีวรและเภสัชเป็นจำนวนมาก หลังจากส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 5 กลับแล้ว แต่นั้นมาพระองค์ก็ทรงเบื่อหน่ายในกามวัตถุเหลือทน มิทรงสนพระทัยอาหารอันเลิศรสกระทั่งยังหน่ายที่จะทอดพระเนตรพวกนางสนม ทรงนั่งเจริญกสิณภาวนาจนบรรลุฌานอยู่ในห้องบรรทมนั้นเอง แล้วเปล่งอุทานว่า..
"โอ้! น่ารังเกียจกามเหลือเกินแล้ว ทั้งมีกลิ่นเหม็น ทั้งเป็นเสี้ยนหนามของเราโดยแท้เชียวเรามัวเสพมันอยู่ได้อย่างไรมาตั้งนาน"
ขณะนั้นเอง พระมเหสีผ่านมาพอดี พลันได้ยินคำอุทานนี้ เกิดตกพระทัยคิดจะผูกมัด พระราชาไว้ให้ได้ จึงรีบเสด็จเข้าไปหาพระราชาแล้วตรัสว่า..
"ขอพระองค์โปรดฟังก่อน! กามนั้นรสชาติแสนอร่อย จะสุขใดยิ่งไปกว่ากามนั้นไม่มีอีกแล้วผู้ใดมาเสพกามก็จะได้ไปสวรรค์ นะเพคะ"
พระราชาตรัสวนไปว่า..
"เจ้าคนถ่อยเอ๋ย เจ้าพูดอะไร! ความสุขในกามมีที่ไหนกัน! กามนั้นมีรสน้อย ทุกข์อื่นยิ่งไปกว่ากามไม่มีอีกแล้ว ผู้ใดมักเสพกามจะไปนรกต่างหาก ดาบที่ลับคมแล้วเชือด กระบี่ที่ขัดดีแล้วแทงหอกที่พุ่งอย่างแรงปักอก กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น หลุมถ่านเพลิงลุกโพลงเผาไหม้ ผาลที่เขาเผาร้อนอยู่ทั้งวัน กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้น ยาพิษกลั่นร้ายแรง น้ำมันที่เดือดพล่าน ทองแดงที่ร้อนละลายคว้าง กามทั้งหลายเป็นทุกข์ยิ่งไปกว่านั้น"
พระราชาทรงสละราชสมบัติให้เหล่าอำมาตย์ปกครองแทน แล้วเข้าฌานเหาะไปสู่ป่าหิมพานต์สร้างอาศรมน่ารื่นรมย์ผนวชเป็นบรรพชิต ในที่สุดแห่งพระชนมายุได้เสด็จไปพักสู่แดนพรหมโลก..
ประชุมชาดก
พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเทวีได้มาเป็นพระมารดาพระราหุลส่วนพระเจ้าพาราณสีก็คือตถาคตแล
"น่ารังเกียจกามทรามมีกลิ่นเหม็น เป็นเสี้ยนหนามผู้แสวงทางสุขล้นหลงเรือนกายซ่อนเครื่องในเน่าเหลือทน ทุกข์มืดมนยกให้ไม่เกินกาม"
จากชาดกเรื่องนี้ พระราชาทรงเกลียดกามมากจนถึงกับทรงอุทานออกมาว่ากามมีกลิ่นเหม็นที่เป็นเช่นนี้ เพราะกามเปรียบเหมือนภาพมายาที่ฉาบไล้ทาฉากหน้าให้สวยงามชวนหลงใหล แต่ความจริงที่เป็นไปในร่างกายล้วนสกปรกมีกลิ่นเหม็น เป็นดังถุงเก็บอวัยวะมีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจไส้ อุจจาระ ปัสสาวะ เส้นเอ็น กระดูก น้ำมูก น้ำเลือด น้ำหนอง มันข้น มันเหลว เป็นต้น ที่พกพาเคลื่อนที่อยู่ตลอด เมื่อสัมผัสกับสิ่งใดก็ถูกกั้นด้วยผิวหนังบางๆ ที่มิดชิดแนบเนียน เมื่อลอกผิวออกแล้วมาอยู่รวมกันต้องมีกลิ่นคละคลุ้งเปรอะเปื้อน น้ำเลือดน้ำหนองไหลนองออกหมดจนทนกันไม่ได้ต้องอาเจียนสะอิดสะเอียนเห็นจะเป็นลมกันทั้งนั้น กามจึงไม่น่าหลงใหล อีกทั้งกามสุขเป็นความสุขนิดหน่อย ล้วนจำเจ น่าเบื่อหน่าย มีแต่ความขมขื่น โหยหา อาลัย โศกเศร้าแห้งใจ ใจไม่มีหยุดนิ่งเป็นทา ความโหยหาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้ที่ตัดใจจากกามได้ดี จำต้องสั่งสมความเบื่อหน่ายในกามหมั่นพิจารณาโทษของกามไว้เสมอ
"นิสัยเบื่อหน่ายกาม และชอบพิจารณาโทษของกาม" จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในเนกขัมมบารมี
-----------------------------------------------
SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี
กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย