เราเกิดมาพร้อมกับความสกปรก
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความสกปรก เป็นเรื่องที่เราไม่อยากได้ยินไม่อยากนำขึ้นมาพิจารณา แต่ว่ามันเป็นความจริง ตอนคลอดออกจากครรภ์มารดาก็สกปรกไปทั้งตัว ตัวเราสกปรกเพราะประกอบด้วยธาตุ 4 ซึ่งประกอบกันเป็นเซลล์ เนื่องจากธาตุ 4 ในตัวไม่บริสุทธิ์ เซลล์ในตัวของเราที่เกิดจากธาตุมันมีอายุไม่ยาว ทุก 1 นาทีมันตายไป 300-400 ล้านเซลล์ ที่เราอยู่ได้เพราะว่าเซลล์ มันเกิดขึ้นมาใหม่ชดเชย เซลล์เกิดตายทุกวินาทีร่างกายจึงสกปรกตลอดเวลา เมื่อกายไปสัมผัสเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และสิ่งต่างๆ
สิ่งเหล่านั้นก็พลอยสกปรกไปด้วยอาหารที่จัดวางไว้ก่อนรับประทานเข้าไป รูปลักษณ์ กลิ่น สีสัน ดูดีหอมยั่วน้ำลายไปหมด เมื่อผ่านเข้าสู่ร่างกายของคนเราไม่เกิน 24 ชั่วโมงเท่านั้น สิ่งที่ร่างกายขับออกมา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน จะเป็นแก๊ส ของเหลว ของแข็ง ล้วนไม่น่าดู ไม่น่าดมไปทั้งนั้น มีแต่ความสกปรกเป็นที่รังเกียจของทุกคน แต่มนุษย์กลับมองความจริงนี้ไม่ออก คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ต่างสรรหาของหอมมาทา มากลบความเหม็นเหล่านี้
เด็กทารกที่คลอดมาใหม่ นาทีหนึ่งเซลล์ตาย 300-400 ล้านเซลล์ แต่มีเซลล์มาเกิดใหม่ชดเชย 700-800 ล้านเซลล์ เด็กก็เลยโตวันโตคืน แต่พอถึงวัยกลางคนอายุมีเลข 3 นำหน้า เซลล์เกิดกับเซลล์ตายพอๆกันจะเริ่มดูไม่หล่อไม่สวย แต่ไม่ถึงกับแก่ แต่พอเลยวัยนั้นไปเรื่อยๆ เซลล์ตายมากกว่าเซลล์เกิด ผมเริ่มหงอก หนังเริ่มเหี่ยว คางเริ่มยานต้องไปดึงกันให้มันเด้ง เท่าเดิม สิ่งที่เสื่อมสลาย คร่ำคร่าไปแล้ว ไม่กลับมาเหมือนเดิมเขาเรียกว่า"ชรา" ซึ่งเรามักยอมรับกันไม่ได้ ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ในวัยไหนๆ ก็ตาม เซลล์ที่ตายไปหากไม่ชำระปล่อยให้หมักหมมสกปรกติดอยู่ทุกวัน มนุษย์ก็คงมีสภาพไม่ต่างกับซากศพที่ตายไป ที่ต่างกัน
ก็เพียงแต่เคลื่อนที่ได้เท่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมองสิ่งเหล่านี้ออก ทั้งๆที่เมื่อครั้งกระนั้นยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์ก็มองออก ทรงเห็นว่า เราคือศพเคลื่อนที่ เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรคที่บริโภคใช้สอยพลอยสกปรกไปด้วย เนื้อสัตว์ที่กลืนกินลงไป บังคับให้คนกลายเป็นป่าช้าเคลื่อนที่ อีกเหมือนกัน ทั้งเนื้อหมู เนื่อไก่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์แต่ละชิ้นที่เรากินเข้าไปมันตายแล้ว สิ่งที่ตายแล้วเขาเรียก "ศพ" ที่เก็บศพเขาเรียก ป่าช้า เพราะฉะนั้นคนก็ต้องเรียกว่า พ่อป่าช้า แม่ป่าช้าเคลื่อนที่มิใช่หรือ
ทุกสิ่งที่ออกจากกายคนสกปรกหมด ไม่ว่าจะเป็นขี้หัว ขี้หู
ขี้ตา ขี้มูก น้ำลาย เหงื่อไคล อุจจาระ ปัสสาวะ ทุกอย่างที่ออกจากตัวมนุษย์สกปรกทั้งหมดไม่มีอะไรดี ยกเว้นความดีที่ตั้งใจทำกัน ตั้งแต่เกิดจนตายแต่ละคนไม่วายเว้นทำให้โลกสกปรก แล้วทำไมไม่รีบกลั่นกาย วาจา ใจตน ให้สะอาด เพื่อจะได้มีเวลาไปทำความดี กับเพื่อนมนุษย์ยิ่งๆขึ้นไป
3.มนุษย์เกิดมาพร้อมความสกปรก
- คลอดจากครรภ์มารดาก็สกปรกทั้งตัว
- ทุกนาทีเซลล์ในกายตาย 300-400 ล้านเซลล์ ทำให้ทั้งตัว เสื้อผ้า อาหาร บ้าน ยา ของใช้ ต้องพลอยสกปรกจากซากเซลล์ด้วย
- ทุกสิ่งที่ออกจากร่างกายไม่ว่า ของแข็ง ของเหลว แก๊ส เว้นความดี ก็มีแต่สิ่งสกปรก
ทั้งสกปรก ไม่รู้จักตน ยังไม่พ้นทุกข์ เอาแต่สนุก ทำไมไม่รีบกลั่นกาย วาจา ใจ ให้ใสสะอาด
สรุปความจริง 3 ข้อที่เรามองข้าม
1. เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้จักอะไรเลย มาเรียนรู้ทีหลังทั้งสิ้น
2. เกิดมาพร้อมกับความทุกข์
3. เกิดมาพร้อมกับความสกปรก
เพราะฉะนั้นอย่าหลงตัวเอง ความจริง 3 ข้อนี้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงคิดตั้งแต่ก่อนจะออกบวช ด้วยความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ พระองค์เลยทุ่มเทฝึกตัวเองมาตามลำดับๆ ท้ายที่สุดจึงค้นคว้าหาความจริงจนกระทั่งตรัสรู้ รู้จริง เห็นจริงในสรรพธรรมและสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
.....................................................................................................
จากหนังสือ ความดีสากล
โดย " พระราชภาวนาจารย์ (เผด็จ ทตฺตชีโว)