ห้องนอน
ห้องพัฒนานิสัย รักบุญ กลัวบาป
1. ใจใสหลับฝันดี ด้วยการนั่งสมาธิก่อนนอน
พวกเราหลายคนคงเคยเจอปัญหานอนไม่ค่อยหลับ หรือเก็บเอาเรื่องราวต่างๆ ไปฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ทำให้รู้สึกเพลีย เพราะหลับไม่เพียงพอ ซึ่งมีวิธีคลายความกังวลใจ ด้วยการทำสมาธิก่อนนอน
ประโยชน์การทำสมาธิ
ช่วยลดความรู้สึกตึงเครียดลดระดับคอเลสเตอรอลทำให้การนอนหลับดีขึ้นหลับได้เร็วขึ้นและหลับได้ลึกขึ้น ลดภาวะกังวลและภาวะซึมเศร้าลดอาการปวดหัวและป้องกันไมเกรนช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย บรรเทาอาการป่วยและในระยะยาว จะทำให้อายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ
สมองพัฒนาได้ด้วยการเจริญสติ
ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน นักวิจัยทางระบบประสาท ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ได้ทำการศึกษาในพระทิเบตรูปหนึ่ง ชื่อพระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด ซึ่งฝึกสมาธิมาเป็นเวลา 20-30 ปี เมื่อตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI ก็พบว่าคนที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานานๆ สมองมีส่วนเปลือกนอกสีเทาๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาทจะหนาตัวขึ้น นั่นหมายถึงมีเซลล์สมองเพิ่มขึ้น และบริเวณส่วนหน้า แถวหน้าผากด้านซ้ายจะมีการทำงานของคลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น ที่เรียกว่า "คลื่นแกรมม่า" ซึ่งพบในคนที่จิตเป็นสมาธิลึกๆ นอกจากนั้น เขายังได้ศึกษากรณีของอารมณ์เครียด อารมณ์โกรธ และอารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสมองในทางตรงข้าม คือมันทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อมลง และเซลล์อายุสั้นลง
"การนั่งสมาธิก่อนนอน
จึงเป็นการผ่อนคลายความคิด อารมณ์
ทำให้เราหลับได้อย่างเต็มที่ ตื่นขึ้นมาก็พร้อมสำหรับวันใหม่
แล้วยังลดภัยร้ายต่าง ๆ ได้อีกตั้งมากมายเลยทีเดียว"
2. สร้างความงดงามให้กับใจ ร่างกายและรอบๆตัวเรา
จากหนังสือชื่อ Messages from Water ซึ่งเป็นผลงานการวิจัยของ ดร.มาซารุ เอะโมโตะ (Dr.Masaru Emoto)ที่โด่งดังไปทั่วโลก โดยการใช้กล้องส่อง ดูผลึกของน้ำที่นำมาจากแหล่งต่างๆ พบว่ารูปผลึกของน้ำมีความหลากหลายตามสภาวะสิ่งแวดล้อม โดยมีตัวอย่างผลงาน ผลการวิจัยที่ได้ข้อสรุปว่า ลักษณะของน้ำจะสวยงามเมื่อผ่านสิ่งดีๆ
มหัศจรรย์แห่งน้ำ
"ลักษณะของน้ำจะสวยงามเมื่อผ่านสิ่งดีๆ"
"การนอนเพียงพอแล้วตื่นเช้าจะส่งผลดีต่อสมองและอารมณ์ให้ความจำดี อารมณ์ดี"
3. นอนเพียงพอแล้วตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์กัน
พวกเราหลายคนอาจไม่เคยนึกถึงความสำคัญของการนอนหลับเพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำในแต่ละวันอยู่แล้ว แต่เราอาจคาดไม่ถึงว่าการที่เรานอนหลับไม่เพียงพอนั้น อาจส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลงซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน ตลอดจนโรคมะเร็ง นอกจากนั้นการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ยังมีผลต่อการทำงานของสมองและอารมณ์ โดยอาจทำให้เรามีอารมณ์ไม่คงที่ มีความจำสั้นหรือไม่มีสมาธิในการทำกิจกรรมใดๆ หรืออาจเกิดสภาวะที่เรียกว่า สมาธิสั้น เป็นต้น
การนอนหลับให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ขณะที่เราหลับสมองจะใช้พลังงานมากกว่าตอนที่เราตื่น เพราะสมองจะจัดระเบียบข้อมูลการทำงาน ในแต่ละวัน จัดสรรปันส่วนให้ลงตัว บันทึกข้อมูลลงสู่ความจำระยะยาว
ทั้งนี้ควรตื่นเช้าในช่วงเวลาไม่เกิน6.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้า
เกร็ดน่ารู้
โรคมะเร็งเกิดจากเซลล์ดีกลายเป็นเซลล์ร้าย ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้น แม้นักวิจัยจำนวนมากทั่วโลกก็ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่แน่นอนได้
นอนตื่นสายใครว่าดี
สเตฟานี เจ โครว์ลีย์ แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ รัฐโรดไอแลนด์ สหรัฐอเมริกา นำเสนองานวิจัยที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาต่อที่ประชุมประจำปี ของสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับครั้งที่ 21 หรือ sleep 2007ที่นครนิวยอร์ก ว่าผลการศึกษาเบื้องต้นที่ได้จากการศึกษากับอาสาสมัครนักเรียนระดับมัธยมศึกษา 6 คน อายุ 15-16 ปี พบว่าการเข้านอนดึกและตื่นสายช่วงวันหยุดทำให้นาฬิกาในร่างกายถูกปรับให้สายขึ้น ส่งผลให้รู้สึกงัวเงียในช่วงวันจันทร์ซึ่งทำให้ภาวะการเรียนรู้บกพร่องและขาดสมาธิ
"ผลการวิจัยจากอีกหลายประเทศระบุชัดเจนว่า การที่เด็กหรือวัยรุ่นอดนอน นอนน้อย นอนดึก หรือนอนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย อาทิ รูปร่างเตี้ย ไม่แข็งแรง ความสามารถในการเรียนรู้น้อยกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ เนื่องจากในระหว่างการหลับสนิท โกรทฮอร์โมน จะหลั่ง ส่งผลให้คนที่เจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ร่างกายสูง แข็งแรง ส่วนในคนที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าแจ่มใสร่าเริง"
ซึ่งช่วงเวลาโดยเฉลี่ยที่ควรนอนในแต่ละวันควรอยู่ที่ 8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามแต่ละช่วงวัยต้องการการนอนที่แตกต่างกันเด็กจะต้องการนอนมากกว่าผู้ใหญ่
เกร็ดน่ารู้
การนอนถูกเวลา ช่วยถนอมสมองและสุขภาพ ถ้านอนไม่พอสมองของเราก็จะรวน ไม่สามารถจัดเก็บบันทึกเรื่องราวได้ตามระบบเพราะสมองเราทำตามวงจรพระอาทิตย์ ซึ่งช่วงที่ดีที่สุดสำหรับการนอนนั้นก็คือ เวลาก่อนเที่ยงคืนแต่ถ้าเราฝืนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อน พอเลยเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว เราก็จะไม่ง่วง อีกทั้งยังเป็นการทำลายสมองด้วย
เคล็ดลับดี ๆ
อย่าฝืนอ่านหนังสือหรือท่องจำตอนกลางคืนให้นอนหลับแล้วตื่นมาอ่านตอนเช้า เพราะสมองยังสดชื่น ไม่มีอะไรเข้ามารบกวนสมาธิการจดจำก็จะดีมากกว่าอ่านหนังสือตอนกลางคืน นอกจากนี้สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดเพราะฉะนั้นต้องดูแลรักษาสมองให้มากๆ เพราะเขาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง แล้วเราก็จะได้อยู่กับสมองที่มีประสิทธิภาพพร้อมใช้งานได้ดีไปอีกนาน
4. นึกถึงสิ่งดี ๆ ก่อนนอน และวางแผนเตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
จะมียามเช้าที่ดีได้นั้น จะต้องมีการนอนหลับที่ดีด้วยจะมีการนอนหลับที่ดีได้นั้น เราต้องเปลี่ยนความเคยชินในเวลาก่อนนอน 30 นาทีเสียก่อน
หากเราป้อนข้อมูลที่ดีให้กับสมองในเวลาก่อนนอน 30 นาที ความทรงจำก็จะรับได้รับการเสริมสร้างให้เด่นชัด และ ความคิด ก็จะเกิดขึ้นด้วย การมียามเช้าที่วิเศษนั้นก็คือการเริ่มวันใหม่ที่ดี เพราะฉะนั้นก่อนนอน 30 นาที ให้เรานึกถึงสิ่งดีๆ ที่ได้ทำมาตลอดวัน เช่นเรารักษาศีล 5 ได้ตลอดทั้งวัน ได้ช่วยคุณแม่ล้างจานทำงานบ้าน เป็นต้น และวางแผนสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้
เคล็ดลับดี ๆ ก่อนหมดวันให้บันทึกสิ่งที่สำคัญที่สุด 5 ข้อสำหรับวันพรุ่งนี้
การฝึกบริหารจัดการแต่ละวันของเรานั้น นอกจากการจัดตารางเรียนแล้ว ก่อนนอนลองบันทึกสิ่งที่สำคัญ 5 ข้อ ที่จะทำในวันพรุ่งนี้ ที่ตั้งเป้าว่าจะทำให้เสร็จ เช่นตื่นมาตักบาตรตอนเช้า ซื้อของที่คุณแม่บอก คืนหนังสือที่ห้องสมุดเป็นต้น เคล็ดลับนี้ดูเหมือนจะง่ายๆ ไม่มีอะไร แต่เป็นการฝึกบริหารจัดการอันทรงพลัง ที่ผู้บริหารบริษัทหลาย ๆ แห่งให้ความสำคัญ
"การมียามเช้าที่วิเศษนั้น ก็คือการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดี
เพราะฉะนั้นก่อนนอน 30นาที ให้เรานึกถึงสิ่งดีๆ ที่ได้ทำมาตลอดทั้งวัน"
5. มหันตภัยของการดูโทรทัศน์ก่อนนอน
พวกเราอาจจะคุ้นเคยกับการดูโทรทัศน์ก่อนนอน (จนบางครั้งก็ให้โทรทัศน์ดูเรานอน) แต่พวกเราทราบไหมว่าการดูโทรทัศน์จะทำให้หัวใจเต้นแรงและอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ เป็นเหตุให้ใจขุ่นมัวก่อนนอนอาจเก็บไปฝันร้ายซึ่งส่งผลให้หลับไม่สนิท เมื่อตื่นนอนแล้วก็จะรู้สึกอ่อนเพลียเพราะหลับไม่เต็มที่ เนื่องจากโทรทัศน์เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าซึ่งจะส่งคลื่นไฟฟ้ารบกวนสมองเวลาพักผ่อน เราจึงไม่ควรนำโทรทัศน์ไว้ในห้องนอน
หากไม่มีโทรทัศน์ในห้องนอน จะทำให้เรานอนตรงเวลาและหลับสนิทมากขึ้น ตื่นมาก็สดชื่นพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างเต็มที่
เกร็ดความรู้
จากผลวิจัยพบว่า...การดูโทรทัศน์ 1 ชม. จะมีความเสี่ยงเป็นโรคสมาธิสั้น 10% ถ้าดู 5 ชม.มีความเสี่ยงเป็นโรคสมาธิสั้น 50%
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่นั่งดูโทรทัศน์วันละ 2 ชั่วโมงขึ้นไป โอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นลองลุกจากหน้าจอแล้วมาทำงานบ้านหรือทำกิจกรรมที่ใช้สมองบ้างก็จะช่วยเสริมสร้างความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ให้สมองได้ดีขึ้น
6. น้องหมาน่ารัก แต่ถึงเวลาพักก็แยกกันอยู่ดีกว่า
ปกติเรามักจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่น่ารักไว้ภายในบ้าน ซึ่งหมั่นดูแลเรื่องความสะอาดของสัตว์เลี้ยงรวมถึงตัวเราหลังจากที่สัมผัสตัวสัตว์เลี้ยง แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าไปในห้องนอนเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้และอาจมีตัวไรและหมัดในสัตว์เลี้ยงมากัด ทำให้เกิดอาการคันและมีอาการเป็นภูมิแพ้ อีกทั้งเห็บหมัดยังสามารถเข้าหูได้อีกด้วย (หากแพ้ขนสัตว์เลี้ยงก็จะเกิดอาการคัน มีผื่น น้ำมูกไหล จาม หายใจลำบาก เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน) เราเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ แต่ควรเลี้ยงอย่างถูกวิธีในสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราและสัตว์เลี้ยง
เกร็ดน่ารู้โรคร้ายที่มากับสัตว์เลี้ยง
แม้สัตว์เลี้ยงจะน่ารัก แต่ก็สามารถเป็นตัวนำเชื่อโรคมาสู่คนได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า โรคพยาธิโรคฉี่หนู โรคผิวหนัง โรคภูมิแพ้ เพราะฉะนั้นควรล้างมือหลังการสัมผัสทุกครั้งด้วยนะ
7. ภาพลามกอนาจารพาจิตใจว้าวุ่น
ห้องนอนหรือบริเวณที่เรานอนพักผ่อนควรเป็นสถานที่ที่เราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ จากเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในแต่ละวัน ดังนั้นสิ่งต่างๆ บริเวณรอบๆ ควรเป็นสิ่งที่เห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจนึกแล้วใจใสใจสงบ เช่นภาพธรรมชาติ ต้นไม้ ภูเขา ภาพพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ที่เราเคารพบูชา เพราะนึกถึงแล้วสบายใจ ใจไม่ว้าวุ่น ไม่มีกังวล ทำให้หลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข
แต่ถ้าเราติดภาพต่างๆ ที่เราคลั่งไคล้ หรือภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น ภาพดาราที่ชื่นชอบ ภาพสุรา อาวุธหรือภาพลามกอนาจาร เมื่อเราเห็นภาพเหล่านี้ ก็จะทำให้จิตใจว้าวุ่น หลับก็เก็บไปนึกถึง ทำให้ฝันร้าย หลับไม่สนิทไม่เพียงพอ และเมื่อดูบ่อยๆ เป็นประจำทุกวันก็จะทำให้ใจเรามัวแต่คอยนึกถึง อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากทำตาม ซึ่งถ้าเป็นสิ่งไม่ดีก็จะทำให้ติดเป็นนิสัยไม่ดีทำสิ่งที่ไม่ดี ผิดกฏหมายเลยทีเดียว
ดังนั้นเรามาทำห้องนอนของเรา เป็นห้องที่น่านอนพักผ่อนกันดีกว่า
8. อาหารในห้องนอนแหล่งปาร์ตี้ของสัตว์ตัวน้อย
ห้องนอน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นห้องสำหรับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่เราเคยไหมที่นอนอยู่ดีๆ ก็คันจี๊ดๆ ตรงแขนบ้าง ขาบ้าง มาดูก็เห็นมดเดินขบวนเป็นแถวๆเลย ทีนี้เลยไม่ได้หลับกันซะที
ที่มาของมด หนู แมลงสาบ หรือสัตว์ต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่ดีๆ แล้วมา แต่เกิดจากตัวเราที่ชอบแอบเอาอาหารหรือขนมเข้ามาทานในห้องเองนี่แหล่ะ พอทานเสร็จแล้ว ก็จะมีเศษหรือคราบอาหารและขนมเหล่านั้นตกอยู่ ทีนี้สัตว์ต่างๆ ก็มาหาอาหาร ไม่ว่าจะเป็นมด แมลงสาบ แมลงต่างๆ จิ้งจก หนูก็มาอีก บางทีอาจเจองูมาหาหนูกินอีก ทีนี้ห้องเราจะกลายเป็นสวนสัตว์ย่อมๆไปเลย (ไม่ต้องไปสวนสัตว์ก็ได้)
แค่เราพยายามหักห้ามนิสัยชอบทานขนมในห้องนอนก็เป็นการตัดวงจรของที่มาของสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยได้แล้ว เราก็จะได้มีเวลาแห่งการพักผ่อนได้อย่างสบาย ไม่ต้องพะวงกับสัตว์ต่างๆ ที่จะมากวนใจเราอีกแล้ว
เกร็ดน่ารู้
ความเร็วในการรับกลิ่นของมด หนังสือ Journey to the Ants: A Story of Scientific Exploration ของ Bert Holldobler และ Edward O. Wilson บรรยายไว้ว่ามดเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในโลกของกลิ่น มดใช้กลิ่นในการหาอาหาร นำทาง จดจำเพื่อนร่วมรัง แปะกลิ่นบอกตำแหน่งศัตรู เตือนภัย ฯลฯ โดยมดมียีนสร้างตัวรับกลิ่นเกือบ 40 ยีน ... มากกว่าแมลงอื่นถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
เราลองนับดูไหมว่าวันหนึ่ง เราใช้ชีวิตที่ไหนมากที่สุด ห้องนอนเป็นห้องที่เราใช้เวลาอยู่มากที่สุดถุง 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 4 ของเวลาทั้งหมด ดังนั้นห้องนี้จึงมีความสำคัญต่อตัวเรามาก ถ้าห้องไม่สะอาด มีฝุ่นไร สิ่งสกปรก จะทำให้เราหลับไม่สบาย และมีผลทำให้เราเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
ลองทำความสะอาดเครื่องนอนและห้องนอนเป็นประจำ
หมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือนำมาซักทุกสัปดาห์ ส่วนหมอนต่างๆ ทั้งหมอนอิง หมอนหนุน หมอนข้าง ก็ควรนำไปตากแดด อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อลดการสะสมของไรฝุ่นและไรซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคือง อาการภูมิแพ้ จามและน้ำมูกไหลขณะนอนหลับได้ และควรทำความสะอาดห้องนอน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเช่นกัน จะช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น
เกร็ดความรู้ไรฝุ่น
หากมีอาการจามทุกๆ เช้าหลังตื่นนอน นั่นไม่ใช่สัญญาณของไข้หวัด แต่มันคืออาการของภูมิแพ้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากเห็บ และไรฝุ่น บนที่นอนของเรานั่นเอง หากอยากให้อาการนี้หายไป ก็เพียงแค่ใส่ปลอกหมอนและหมั่นเปลี่ยนปลอกหมอน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จากนั้นซักปลอกหมอนด้วยน้ำอุ่นอย่างน้อยสองครั้ง วิธีนี้จะสามารถกำจัดเห็บและไรฝุ่นซึ่งเกาะอยู่บนที่นอนได้เป็นอย่างดี
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับห้องนอน
การจัดและเก็บที่นอน ห้องนอนเป็นห้องที่ใช้พักผ่อนนอนหลับ หลังจากตื่นนอนทุกครั้งเราจึงควรจัดเก็บที่นอนให้เรียบร้อย
วิธีเก็บที่นอน
1. ดึงผ้าปูที่นอนให้ตึง ปัดฝุ่นออก
2. จัดวางหมอนบนหัวเตียง และพับผ้าห่มวางไว้ปลายเตียง จากนั้นปูผ้าคลุมเตียงป้องกันฝุ่น
3. กรณีที่ต้องเก็บที่นอนไว้อีกที่ให้นำไปเก็บให้เรียบร้อย
วิธีการพับผ้าผืนใหญ่ / ผ้าห่ม
1. จับผ้าเป็นแนวยาวแล้วผับเข้าหากัน รีดผ้ามห้เรียบตึง
2. พับผ้าลงในแนวเดิมอีกครั้ง รีดผ้าให้เรียบตึง
3. แบ่งผ้าออกเป็น 4 ส่วน แล้วพับผ้าเข้ามาในแนวกลาง
4. พับผ้าเข้าหากัน จะได้ผ้าผืนสี่เหลี่ยม เก็บชาบผ้าเรียบร้อยสวยงาม
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับห้องนอน
ทำอย่างไรให้ห้องนอนเป็นห้องแห่งการสร้างบุญ
คำนิยามที่แท้จริงของห้องนอน คือ ห้องพัฒนานิสัยรักบุญ กลัวบาป คือพัฒนาจิตใจเราให้คุ้นเคยกับความดีกำจัดสิ่งที่ทำให้ใจเราขุ่นมัว หลักธรรมประจำห้องนอนคือ 1. สัมมาทิฏฐิ หมายถึงความเห็นชอบ เห็นสิ่งต่างๆถูกต้องตามความเป็นจริง และ 2. สัมมาสมาธิ หมายถึง ตั้งใจมั่นโดยถูกทาง ห้องนอนจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ห้องมหาสิริมงคล"
หน้าที่หลักของห้องนอน
1. ใช้ในการปลูกฝังความเข้าใจถูกเรื่องความจริงของโลกและชีวิต ให้เป็นคนที่มองสิ่งต่างๆถูกต้องตามความเป็นจริง
2. ใช้ในการฝึกสมาธิ ให้ใจตั้งมั่นอยู่ในศูนย์กลางกาย เป็นปกติ หน้าที่หลักสองข้อนี้เป็นพื้นฐานของการคิดดี พูดดี และทำดีตลอดทั้งวัน
ความรู้ที่ต้องมีเกี่ยวกับห้องนอน/ลักษณะห้องนอนที่ดี
1. ต้องสะอาด อากาศถ่ายเทได้ดี ตั้งอยู่ในทิศทางลมผ่านเข้าออกสะดวกไม่มีเสียงหรือสิ่งรบกวน เช่นมด แมลง
2. ไม่แคบหรือกว้างเกินไป
3. ตกแต่งด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่ดูแลรักษาและทำความสะอาดง่าย
4. หมั่นทำความสะอาดเสมอ ไม่ปล่อยให้มีฝุ่นละอองจับ หรือหยากไย่เกาะ
ประโยชน์จากการใช้ห้องนอนอย่างถูกต้อง
1. ทางใจ
1. กราบพระ สวดมนต์ เจริญภาวนา
2. สำรวจบุญ-บาปที่ตนได้ทำในแต่ละวัน
3.ตักเตือน อบรม สั่งสอนสมาชิกในครอบครัวรวมถึงการเล่าธรรมะก่อนนอน
4. ใช้ปลูกฝังนิสัยรักศีลรักธรรมด้วยการเล่าธรรมะก่อนนอน
5. วางแผนในการทำบุญกุศลและการทำงานในวันใหม่
6. กราบพระ สวดมนต์ หลังตื่นนอน พร้อมทั้งสมาทานศีล และเจริญภาวนา
2. ทางกาย
ห้องนอนเป็นสถานที่พักผ่อน นอนหลับ โดยก่อนนอน ก็ให้กราบพระ สวดมนต์ พร้อมทั้งสมาทานศีล 5 หรือศีล 8 และนั่งสมาธิประมาณ 5-10 นาที ศึกษาธรรมะก่อนนอน วางแผนการทำบุญและการทำงานในวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนเรียบร้อยแล้วให้กราบพระสวดมนต์และสมาทานศีล 5 หรือศีล 8 และนั่งสมาธิประมาณ 5 -15 นาที เพื่อเตรียมพร้อม ในการทำความดีต่อไป ดังนั้นห้องนอนคือห้องมหาสิริมงคล มีไว้ใช้ปลูกฝังศีลธรรม ทบทวนบัญชีบุญ-บาป รับพรจากพ่อแม่ก่อนนอน กราบพ่อกราบแม่ก่อนนอน นั่งสมาธิก่อนนอน ทำให้ชีวิตเกิดสิริมงคล